TongPilot เขียน: เปิดแล้วคลีนิกแก้หนี้ เริ่ม 1 มิ.ย. 2560 นี้ครับ ไม่ทราบหลายๆท่านได้ทราบข่าวยังครับ
ผมรู้ข่าวนี้มาได้ประมาณสัปดาห์นึงแล้วครับ
มันก็แค่ MOU ขอเชิญชวนให้ลูกหนี้ที่เป็น NPL เข้าร่วมใน
โครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (สัญญาประนอมหนี้) โดยมอบหมายให้
บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท(SAM) เป็นคนกลาง เข้ามาช่วยประสานงานในการเจรจาให้
โครงการ MOU นี้ ขอความร่วมมือให้เจ้าหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ(ทั้ง 16ราย) ยอมผ่อนปรนการทำ
สัญญาประนอมหนี้กับลูกหนี้ NPL ที่เป็นหนี้บัตรของมันเอง โดยคิดดอกเบี้ยไม่เกิน 7% ต่อปี
(แทนที่จะคิด 13% ต่อปีเหมือนเช่นในอดีต)...พร้อมกับให้ลูกหนี้สามารถผ่อนหนี้ได้ยาวๆ
(เช่นผ่อน 5ปี)...เป็นต้น
แต่...เงื่อนไขของโครงการกลับมีเยอะแยะเต็มไปหมด ปฎิบัติได้ยากมาก และถ้าหากลูกหนี้มียอดหนี้เงินที่เยอะมากๆ...ทำไปแล้ว คิดว่าจะรอดเหรอครับ?
“สัญญา นรก”...คืออะไร?
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=6343&Itemid=64
อีกทั้งลูกหนี้ ก็ยังต้องติด
Blacklist(บัญชีดำ)อยู่ในเครดิตบูโร
ต่อไปอีก 3ปีอยู่ดี เพราะกฎเกณฑ์ของโครงการนี้ ลูกหนี้จะสามารถเข้าร่วมได้ก็ต่อเมื่อ ต้องเป็นลูกหนี้ที่หยุดจ่ายมานานเกินกว่า
3เดือน(90วัน)ไปแล้ว
(ต้องติด Blacklist หรือเป็น NPL ไปแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถทำสัญญาประนอมหนี้กับโครงการนี้ได้)
แถมสถาบันการเงินที่เข้าร่วมในโครงการ ก็มีแค่ 16 รายเพียงเท่านั้น แล้วหลายๆรายในธนาคารจำพวกนี้ ก็ไม่ได้เป็นเจ้าหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดอีกด้วย เช่น
ธนาคารเกียรตินาคิน , ธนาคารทิสโก้ , ธนาคารไทยเครดิต , ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮาส์ , ธนาคารแห่งประเทศจีน , ธนาคารไอซีบีซี...เป็นต้น
เอาธนาคารพวกนี้เข้ามาร่วมในโครงการทำไม?...ในเมื่อลูกหนี้ส่วนใหญ่ เขาไม่ได้เป็นหนี้บัตรเครดิต หรือเป็นหนี้บัตรกดเงินสด กับธนาคารพวกนี้
(เพราะธนาคารพวกนี้มันไม่ได้เป็นเจ้าหนี้บัตรต่างๆ ที่ลูกหนี้ส่วนใหญ่เขาเป็นหนี้กัน)
ส่วนเจ้าหนี้ที่เป็น Non-Bank ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้กันแทบทั้งนั้น กลับไม่เห็นมีเข้าร่วมโครงการเลยแม้แต่รายเดียว เช่น
อิอ้อน , อีซี่บาย(ยูเมะพลัส) , เฟิร์สช้อยส์ , KTC , บัตรกรุงศรี , บัตรโลตัส , บัตรบิ๊กซี , พรอมิส , อยุธยา แคปปิตอล , เจเนอรัล คาร์ด , แคปปิตอล โอเค...เป็นต้น...ไม่เห็นมีรายชื่อเข้าร่วมโครงการแม้แต่รายเดียว
โครงการมันยังไม่ชัดเจนเลยนะครับ อย่าเพิ่งด่วนดีใจไป
เพราะมันอาจเป็นน้ำผึ้งที่เคลือบยาพิษก็เป็นได้...ต้องดูกันไปยาวๆ
โครงการเพื่อการคุ้มครองประชาชนและผู้บริโภคที่ดี
จะต้องออกเป็นกฏหมาย สั่งให้สถาบันการเงินทุกแห่ง
"ห้าม"ไม่ไห้คิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ15ต่อปี (15%ต่อปี)
ตามที่กฏหมายรัฐธรรมนูญกำหนด สิครับ
ไม่ใช่ปล่อยให้บรรดาสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้)ทั้งหลายแหล่
คิดดอกเบี้ยกับประชาชนที่อัตราร้อยละ 20 - 28 ต่อปี กันหมดทุกราย
พอลูกหนี้จ่ายไม่ไหว ก็เลยพากัน"หยุดจ่าย"กันมากถึง 3ล้านคน
เมื่อมาถึงจุดนี้ ค่อยมาคิดโครงการลดดอกเบี้ยให้เหลือไม่เกิน 7%ต่อปี
แล้วทำไมถึงไม่ลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้
ให้มันถูกต้องตามกฏหมาย เสียตั้งแต่ทีแรกล่ะครับ...จริงไหม?
อ้างอิงจาก
ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ ปัจจุบัน (ปี 2560)
ประชากรไทยทั้งหมดทั่วประเทศ จำนวน 70 ล้านคน
มีคนที่เป็นหนี้ทั้งหมด
21 ล้านคน
และในจำนวนนี้ มีคนที่เป็นหนี้อยู่
3ล้านคน หรือคิดเป็น 16% ของลูกหนี้ทั่วประเทศ ที่จ่ายหนี้ไม่ไหวแล้ว
(หยุดจ่ายแล้ว)
จนกลายเป็นหนี้เสีย หรือ NPL จำนวนทั้งสิ้น
3 ล้านคน
ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นคนไทยอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 30ปี
ธนาคารแห่งประเทศไทย ถึงได้เพิ่งคิดโครงการ"
คลินิกแก้หนี้"
(โครงการประนอมหนี้) ตัวนี้ขึ้นมา
อ้างอิงข้อมูลจาก
แบงก์ชาติกางข้อมูลหนี้คนไทย
thaipublica.org/2017/05/bot-debt-clinic/
เปิดโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน (คลินิกแก้หนี้) ระยะแรก
www.moneyandbanking.co.th/new/14277/2/index.php
ปล. ลองไปอ่านกฏหมายที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงก์ชาติ) ประกาศออกมาเป็นราชกิจจานุเบกษา
สำหรับเรื่องนี้ดูก่อนก็ได้ แล้วคุณจะรู้ว่ามันมีทั้ง ข้อดี และ ข้อเสีย