debt logo-2ชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ ได้จัดทำเป็น

หลักสูตร“โครงการฝึกอบรมในหลักสูตร

วิธีแก้ปัญหาหนี้” โดยในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน

4 หลักสูตร และทั้ง 4 หลักสูตรนี้

ไม่มีโรงเรียนที่ไหนทำการสอน....

เห็นสารพัดโครงการแก้หนี้ประชาชนของรัฐบาลแล้ว คงต้องชื่นชมในความตั้งใจดี โดยเฉพาะความพยายามที่จะให้การแก้ปัญหานี้ เป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่แจกเงิน ไม่ชำระหนี้แทน และไม่คิดดอกเบี้ยต่ำเกินไป ทั้งยังจะพัฒนาให้หลุดพ้นจากคำว่า “ลูกหนี้” เพราะคำว่า“หนี้”หากไม่มีเสียเลย จะเป็นการดีที่สุด

แต่ยังมีคำถามว่า วิธีการที่รัฐบาลนำมาใช้ มันถูกต้องและทำให้บรรลุผลตามความตั้งใจของรัฐบาลได้จริงหรือ เพราะในที่สุดมันก็เป็นเพียงแค่ “การย้ายหนี้” ซึ่งไม่ใช่วิธีที่จะทำให้ลูกหนี้ หมดหนี้ได้จริงๆ

และถ้าไปถาม ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นองค์กรในสังกัดของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ทำการ “จัดอบรมแก้ไขปัญหาหนี้” ให้กับพนักงานบริษัทต่างๆที่สนใจ ซึ่งสามารถบอกได้เลยว่า วิธีการของรัฐบาลที่ใช้อยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ ยังไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง

“สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ใช่การปลดหนี้ แต่เป็นการดึงเวลา ซึ่งมันก็คือ ระเบิดเวลา เพราะแนวทางที่รัฐบาลทำ พวกเราเคยทำกันมาหมดแล้ว จึงทำให้รู้ว่า มันไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้หมดหนี้ แต่มันจะยิ่งทำให้กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง”

ขณะที่วิธีแก้ปัญหาหนี้ที่ถูกต้องและทำให้หมดหนี้จริงๆ ตามแนวทางของชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ คือ “ลูกหนี้ต้องหยุดหมุนเงิน หยุดการกู้เงินที่ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า เพราะมันจะทำให้ลูกหนี้มีหนี้เพิ่มมากขึ้น จากนั้นจึงค่อยมาทำการจัดระบบการเงินใหม่ เก็บเงิน และใช้หนี้จากรายได้ของตัวเอง ไม่ใช่เงินที่มาจากการกู้ยืม ซึ่งต้องใช้ความอดทนและระยะเวลาพอสมควร แต่สามารถปลดหนี้ได้จริง”

และแนวทางนี้เองที่ชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ นำมาประยุกต์เป็น “โครงการฝึกอบรมในหลักสูตรวิธีแก้ปัญหาหนี้” ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 4 หลักสูตร และทั้ง 4 หลักสูตรนี้ไม่มีโรงเรียนไหนมีสอน

 

หลักสูตร 1 ทางลัดกำจัดหนี้ หรือ (Short cut Debt relief Course) จะใช้เวลาในการอบรม 4 ชั่วโมง ราคา 10,000 บาท

หลักสูตร “ทางลัดกำจัดหนี้” จะเน้นไปที่ การแก้ปัญหาหนี้ในระบบ โดยให้ความรู้ในการแก้ปัญหาสำหรับคนที่เป็นหนี้แล้ว ทั้งการให้ข้อมูลการปลดหนี้ที่ถูกต้องเป็นระบบ ข้อเท็จจริงของการทวงหนี้โหด วิธีการชำระหนี้ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวอย่างของคนที่เคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว

นอกจากนี้ ยังเน้นไปที่ การใช้รายได้ของตัวเองในการชำระหนี้ โดยไม่ไปก่อหนี้เพิ่ม เพื่อมาชำระหนี้ จึงเป็นหลักสูตรที่เหมาะสำหรับคนที่เป็นหนี้และใช้วิธีแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง จนทำให้ปัญหาหนี้ของตัวเองหนักมากขึ้น

เราจะให้ข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด แต่อาจจะเป็นแค่หลักสูตรย่อๆ เพราะจะใช้เวลาในการอบรมประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง และอีกครึ่งชั่วโมงจะปล่อยให้เป็นการซักถาม โดยจะเหมาะกับบริษัทที่มีเวลาอบรมไม่มาก”

 

หลักสูตร 2 ฝ่าวิกฤตพิชิตหนี้ (Fighting Debt Course) ใช้เวลาการอบรม 6 ชั่วโมง ราคา 15,000 บาท

เนื้อหาจะเป็นแบบเดียวกับหลักสูตร “ทางลัดกำจัดหนี้” แต่จะเจาะลึกมากขึ้น มีรายละเอียดมากขึ้น เช่น เรื่องการจัดระบบการเงิน บริหารจัดการบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทำตารางหนี้ การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การลดรายจ่าย การออมเงินที่ถูกต้อง รวมถึงการใช้ชีวิตหลังจากปลดหนี้เรียบร้อยแล้ว โดยเน้นการใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เป็นหลักสูตรที่เหมาะกับคนทุกประเภท ทั้งคนที่เป็นหนี้แล้ว คนที่ยังไม่เป็นหนี้ และคนที่กำลังคิดจะก่อหนี้

“หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะผู้เข้าอบรมจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนจริงๆ เพราะมีระยะเวลาการอบรมที่นานพอ ทำให้ไม่ต้องเร่งรีบมากนัก โดยผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ได้จริง ทำให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้”

 

หลักสูตร 3 แก้หนี้แบบมือโปร (Professional Debt relief Course) ใช้เวลาในการอบรม 6 ชั่วโมง ราคา 15,000 บาท

หลักสูตรนี้จะจัดให้เฉพาะคนที่ผ่านการอบรมหลักสูตรทางลัดกำจัดหนี้ หรือ หลักสูตรสู้วิกฤตพิชิตหนี้ มาแล้วเท่านั้น (ต้องผ่านหลักสูตรที่ 1 และ 2 ก่อน) เพราะเป็นหลักสูตรที่ต่อยอดจากทั้งสองหลักสูตรในเบื้องต้น โดยจะเน้นที่การฝึกในภาคปฏิบัติในเชิงลึกยิ่งขึ้น เช่น การคำนวณภาระหนี้สิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ การคำนวณรายรับรายจ่าย การพิจารณาหมายศาล และเน้นการคิดดอกเบี้ย โดยเฉพาะการคำนวณดอกเบี้ยตามคำพิพากษา แนวทางการต่อสู้คดีทางแพ่ง เมื่อได้รับหมายศาล และการบังคับคดี

 

หลักสูตร 4 หลักสูตรการปลดหนี้ภาคพิเศษ (The Special Debt relief Course) (หลักสูตรที่ 1 + การให้คำปรึกษา แบบ ตัว-ต่อ-ตัว) ราคา 18,000 บาท

ใช้เวลาในการอบรม 1 วันเต็มๆ ซึ่งจะเป็นการผสมผสานระหว่างการอบรมในหลักสูตรทางลัดกำจัดหนี้(หลักสูตรที่1) ที่ใช้เวลาในการอบรม 4 ชั่วโมงในช่วงเช้า แล้วหลังจากนั้นในช่วงบ่ายจะเป็นการให้คำปรึกษากับคนที่มีปัญหาหนี้แบบตัวต่อตัว คนละประมาณ 20-30 นาที โดยผู้ให้คำปรึกษาจะเป็นกรรมการชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ ที่มีประสบการณ์

ถึงแม้ว่า จะมีกำหนดการอบรมไว้เป็น 4 หลักสูตรก็ตาม แต่ทุกหลักสูตร สามารถปรับเนื้อหาและระยะเวลาการอบรม ให้สอดคล้องกับความต้องการของบริษัทที่เชิญไปอบรมได้

“สิ่งที่เราพบจากการไปอบรมตามบริษัทต่างๆ ก็คือ พนักงานบริษัทในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเน้นไปที่ปัญหาหนี้ในระบบ ซึ่งมีทั้งหนี้กับธนาคารและหนี้กับบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือที่เรียกกันว่า นันแบงก์(Non Bank) และอาจมีปัญหาหนี้นอกระบบอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นพนักงานบริษัทในต่างจังหวัดจะเป็นปัญหาหนี้กับนันแบงก์และหนี้นอกระบบ เสียเป็นส่วนใหญ่”

 

กว่าจะมาเป็นหลักสูตรแก้หนี้

ต้องขอบอกว่า ชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ พยายามหาทางช่วยแก้ปัญหาภาระหนี้สินรุงรังของภาคประชาชนมานานแล้ว (ตั้งแต่ยังไม่ได้ประกาศก่อตั้งชมรมฯ ขึ้นอย่างเป็นทางการดังเช่นทุกวันนี้) โดยก่อนหน้านี้ ยังเป็นเพียงการพูดคุย ให้ความรู้ และช่วยเหลือผู้คนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ จากในเว็บบอร์ด “คนยิ้มสู้หนี้”

“ผู้ที่เข้ามาศึกษาข้อมูลในเว็บบอร์ดของชมรม ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่แก้ปัญหาหนี้แบบผิดๆ จนมีหนี้สินล้นพ้นตัว กว่าจะแก้ปัญหาหนี้ของตัวเองได้ ก็ต้องใช้เวลานานมาก กรรมการชมรมฯในช่วงนั้นจึงเห็นว่า สิ่งที่ควรทำคือต้องพยายามกระจายข้อมูลการแก้ปัญหาหนี้ที่ถูกต้องให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ให้มากที่สุด...เท่าที่จะทำได้”

จนในปี 2550 คุณอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงเริ่มโครงการฝึกอบรมตามบริษัทต่างๆขึ้นมา เพื่อกระจายข้อมูลและวิธีการแก้ปัญหาหนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยในปีแรกๆ การอบรมยังมีไม่มากนัก ครั้นพอมาถึงปลายปี 2551 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นอีกครั้ง การอบรมจึงเริ่มได้รับความนิยมจากบริษัทต่างๆ มากขึ้น

“ตอนนี้เราใช้วิธีการอบรมโดยพูดถึงวิธีการแก้ปัญหาหนี้แต่ละวิธี อธิบายทั้ง ข้อดี-ข้อเสีย สิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ห้ามทำ อย่างละเอียด โดยมีตัวอย่างจริงจากผู้ทีเป็นวิทยากรเอง และตัวอย่างที่ได้รับรู้มาจากการอบรมในแต่ละที่ นอกจากนี้ ยังมีเวลาให้ผู้เข้าอบรมซักถามข้อสงสัย จนทำให้ผู้เข้าอบรม สามารถมองเห็นภาพรวมของการแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างชัดเจน สามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสม และนำไปใช้อย่างได้ผล”

 

ทำไมต้องจัดอบรม?

บริษัทที่ต้องการจัดอบรมเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ให้กับพนักงาน มักจะเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับพนักงาน อยากให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข มีขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ดี ไม่ใช่ทำงานด้วยความเครียด ความกดดัน จากปัญหาหนี้สินรุมเร้า เพราะพนักงานบางคนเครียดและท้อ จนยอมลาออกจากงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะมันจะยิ่งทำให้ชีวิตแย่ลง
ปัญหาหลักที่แต่ละบริษัทพบ เมื่อพนักงานมีปัญหาหนี้สิน คือ
- พนักงานไม่มีกำลังใจในการทำงาน
- พนักงานเครียดมาก สุขภาพจิตเสียจนทำงานไม่ได้
- พนักงานมีปัญหาหนี้สินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
- พนักงานลาออกเพื่อหนีปัญหา

ก่อนที่พนักงานจะลาออกเพื่อหนีหนี้ อาจกระทำการ “ทิ้งทวน” ในเรื่องที่ผิดๆบางอย่าง เช่น การกู้ยืมเงิน หัวหน้างาน , เพื่อนร่วมงาน , การรีบเปียแชร์ในที่ทำงาน , การลักเล็กขโมยน้อย ก่อนที่จะทำการลาออกไปโดยที่ไม่บอกกล่าวให้ทราบล่วงหน้า (หยุดงานหายไปเฉยๆ หลังจากที่ได้รับเงินเดือนเป็นก้อนสุดท้ายแล้ว)

สิ่งต่างๆเหล่านี้ ทำให้บริษัทมีผลกระทบ ในด้านกำลังใจและแรงงานของพนักงาน ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ รวมทั้งยังต้องใช้เวลาในการฝึกฝนบุคลากรขึ้นมาใหม่ ให้มาทำงานแทนผู้ที่หนีหนี้ลาออกไป แต่หลังจากการอบรม จะทำให้ ทั้ง ผู้บริหาร ฝ่ายบุคคล และพนักงานที่เป็นหนี้ รวมทั้งเพื่อนพ้องของพนักงาน เข้าใจตรงกันว่า
- ไม่จำเป็นต้องไปกู้ยืมเงินเพิ่ม ก็สามารถหมดหนี้ได้
- ไม่ควรลาออกเพื่อหนีหนี้ เพราะจะทำให้เสียโอกาสดีๆ ในชีวิต
- เป็นหนี้ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ มีความสุข ไม่ต้องเครียด
- แค่ตั้งใจทำงาน จัดระบบการเงินใหม่ ประหยัดอดออมให้มากขึ้นอีกหน่อย และใช้เวลาสักระยะก็หมดหนี้ได้เช่นกัน โดยไม่ต้องกระทำการ“ผิดศีลธรรม” ต่อคนรอบข้างในองค์กร และต่อบริษัท
คนที่เข้ามาอบรมจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกจะไม่มีหนี้ กลุ่มที่สองมีหนี้แต่สามารถจัดการได้ และกลุ่มที่สามจะมีหนี้เยอะจนเริ่มใช้วิธีการหมุนเงิน ซึ่งคนกลุ่มที่สามจะสนใจการอบรมมาก ในขณะที่กลุ่มที่หนึ่งและกลุ่มที่สอง จะรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้เข้ามาอบรม จึงไม่สนใจการอบรมมากนัก
“แต่เราจะเล่าให้เขาฟังว่า ทุกคนก็เริ่มจากการไม่มีหนี้ หรือถึงแม้จะมีหนี้ แต่ก็สามารถจัดการได้มาก่อนเหมือนกัน แต่เป็นเพราะการใช้ชีวิตอย่างประมาท จนเข้ามาสู่กลุ่มที่สาม เพราะฉะนั้นคนในกลุ่มที่หนึ่งและสองก็ควรจะฟังไว้ เพื่อที่จะทำให้ไม่ต้องตกไปอยู่ในกลุ่มที่สาม ส่วนคนที่อยู่ในกลุ่มที่สามแล้ว ก็จะได้หยุดใช้วิธีการหมุนเงินมาใช้หนี้ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด”


อบรมแล้วอารมณ์ดี

หลังจากผ่านการอบรมไปแล้ว กรรมการชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ ที่ไปให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ก็ยังไม่ได้ละทิ้งภารกิจไว้เพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนั้น ผู้เข้าอบรมที่มียังปัญหา ก็สามารถขอรับคำปรึกษาทางโทรศัพท์ หรือเข้ามาพุดคุยกันในเว็บบอร์ดของชมรมฯได้ ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้รับคำแนะนำต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ได้รู้ถึงความคืบหน้าและผลจากการแก้ปัญหาหนี้
“บางบริษัทจัดอบรมมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งจะได้รับความสนใจจากพนักงานในบริษัทเพิ่มมากขึ้น เพราะพนักงานมีความสุขในการทำงาน แล้วก็บอกต่อๆกันไป บางคนตอนที่เจอกันในครั้งแรก ใบหน้าเครียด ไม่แจ่มใส แต่พอเจอกันอีกครั้งใบหน้าแจ่มใส สดชื่นขึ้นมาก ไม่เครียด ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า เราบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เพราะได้ช่วยคนให้หายเครียด”
หากบริษัทของท่าน สนใจอยากให้พนักงานหายเครียดจากภาระหนี้ มีความสุขในการทำงาน มีชีวิตที่ปลอดจากหนี้ ซึ่งผลที่ได้จะคุ้มกับค่าใช้จ่ายในการอบรมเป็นอย่างยิ่ง

 

เพราะวิชานี้ไม่มีสอนในโรงเรียน

 

บริษัท องค์กรและหน่วยงานใดสนใจในหลักสูตรฝึกอบรมของชมรมฯกรุณาติดต่อสอบถามรายละเอียดหลักสูตร ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง และอื่นๆ ได้ที่

 

คุณชูชาติ บุญยงยศ

ประธานชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ เครือข่ายในสังกัดมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซอยวัฒนโยธิน (ราชวิถี 7) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

เบอร์โทรติดต่อ 089-116-4641 Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

(โปรดระวังผู้แอบอ้างทำให้ท่านเข้าใจผิด วิทยากรของชมรมจะผ่านการติดต่อจาก ชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ เท่านั้น)