บัตรกรุงไทย (คดีที่ 5 ล่าสุด)
หลังจากได้เลื่อนคดีมาแบบไม่ได้ตั้งใจ (กระทู้ 7745)
http://old.consumerthai.org/compliant_board1/view.php?id=7745
ถึงวันนัดแล้วครับ ไปดูที่กระดานนัดคู่ความช่วงเช้า พอรู้ว่าห้องไหนก็เดินขึ้นไป ถึงห้องไม่พบเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ มีแต่ทนายความนั่งจัดเอกสารอยู่ 2 คน อีก 3 คนเป็นจำเลย ผมเข้าไปนั่งรอ จนผ่านไปครู่นึงเห็น จนท. ยังไม่มาก็เลยลุกออกไปนอกห้อง เดินดูบรรยากาศห้องอื่นๆ ว่าเป็นไงกันบ้าง
ผู้คนพลุกพล่าน ในห้องอื่นมีคนนั่งบ้างยืนบ้างรอศาล ตามทางเดินก็เต็มไปหมด เห็นมีทนายยืนคุยกับจำเลย หลายต่อหลายกลุ่ม ส่วนใหญ่น่าจะเป็นคดีประเภทบัตรเครดิตและเงินกู้นี่แหละ เพราะได้ยินพูดว่าจะผ่อนกันเท่าไร ยังไง เดินไปสุดทางที่มีห้องพิจารณาอยู่ทั้งซ้าย-ขวา จนสุดทางเดิน ก็วกกลับมาที่ห้องพิจารณาของตัวเอง
จนท. ยังไม่เข้ามา ก็นั่งลงแล้วมองโน่นนี่ไปเรื่อย ตรงที่นั่งอยู่ก็ได้ยินเพื่อนร่วมชะตากรรมกำลังคุยกันอยู่ข้างหลัง เป็นสองสาวท่าทางเพิ่งจะมาพบกันที่นี่ พูดกันเบาๆ คุ้นๆ เกี่ยวกับการหยุดชำระ การฟ้อง การเลื่อนคดี ก็ฟัง ยังไม่ทันได้คุยด้วย จนท. หน้าบัลลังก์ก็เข้ามาพอดี เลยเข้าไปรายงานตัวว่ามาคดีของบัตรกรุงไทย เธอก็บอกว่าทนายมาแล้ว ก็ถามว่า ทนายกรุงไทยอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าทนายสองคนนั่นไม่ใช่ เธอเลยบอกให้ผมนั่งรอ
เจอเพื่อนสมาชิกชมรม
เดินกลับมานั่งเห็นจำเลยที่คุยกันเมื่อกี้ นั่งอยู่คนเดียว อีกคนไม่รู้ไปไหน เลยเข้าไปนั่งม้านั่งยาวตัวเดียวกัน แล้วถามว่า น้องมาคดีอะไร เธอบอกว่า กสิกรไทย คุยไปคุยมาปรากฎว่า เป็นเพื่อนสมชิกชมรมฯ นี่เอง เธอเคยยื่นคำให้การในคดีก่อนหน้าโดยความช่วยเหลือของที่ปรึกษาชมรมฯ ส่วนกสิกรนี่มายอมความ รับเงื่อนไขที่โจทก์เสนอ น้องเขาให้ศาลตัดสินไปตามยอม ส่วนผมบอกน้องเธอว่า คงมาประนอมเหมือนกันเพราะดูแล้วดอกเบี้ยก็ไม่ได้สูงอะไรมาก และลองมาแบบไม่ยื่นคำให้การ เดี๋ยวจะคุยเรื่องการผ่อนกับโจทก์ น้องเขาก็บอกต่อรองเยอะๆ นะพี่ ผมก็ครับ จะลองดู
ยอดหนี้มีปัญหา
รอจน 10 โมงกว่า ทนายกรุงไทยก็เข้ามา ได้คุยกัน เขาถามว่าจะเอายังไง ผมบอกว่าอยากจะผ่อน แต่ขอให้ช่วยลดยอดให้หน่อยและผ่อนส่งแต่ต้นจะได้มั้ย ทนายบอกว่าทางกรุงไทยให้ข้อเสนอมาบอกว่าส่งต้นอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีดอกเบี้ยหลังจากตัดสินด้วย แต่คิดแค่ 10% ต่อปีเท่านั้น
ถึงตอนนี้ศาลท่านก็เข้ามาในห้อง ทุกคนยืนทำความเคารพ ท่านนั่งบัลลังก์พิจารณา ทุกคนก็นั่งลง ศาลเริ่มเรียกคดีไปคุย ผมกับทนายโจทก์ก็คุยกันเบาๆ ต่อ เพราะยังไม่จบ ผมขอจ่ายแบบขั้นบันได ปีแรกน้อยหน่อย แล้วค่อยๆ เพิ่ม เพราะตอนนี้ผ่อนเจ้าอื่นอยู่ สรุป เขาให้ผ่อน 3 ปี ยอดรวม แสนกว่าๆ ไม่รวมดอกเบี้ย (ผมนึกในใจ ยอดตามฟ้องมันแค่ 8 หมื่นนี่นา) ปีแรก เริ่มที่ 1500 ปีสุดท้ายประมาณ 5000 ผมบอก ตามคำฟ้องที่ผมถือมามันยอด 8 หมื่นกว่าเองนี่ ทำไมกลายเป็นแสนกว่าล่ะ ทนายบอกก็เป็นยอดบัตรหลักบัตรเสริมรวมกัน ตามที่เขียนไว้ในคำฟ้องนี่ไงครับ แล้วก็บวกเลขให้ดู ผมก็ ครับ...ครับ (ผมอ่านคำฟ้องมาแล้ว ไม่ใช่เป็นแสนแน่นอน)
ได้เลื่อนนัดอีกครั้ง
ตอนนี้ทนายกรุงไทยนึกอะไรขึ้นมาได้ บอกผมว่า การทำยอมต้องทำพร้อมกันทั้งบัตรหลักบัตรเสริม หรือบัตรหลักที่เป็นจำเลยที่ 1 มาคนเดียวก็ได้ แต่ให้บัตรเสริม ที่เป็นจำเลยที่ 2 มอบอำนาจมา จึงจะทำยอมได้ ผมเลยบอกเอางั้นก็เลื่อนไปอีกนัดก็แล้วกัน ผมจะพาจำเลยที่ 2 (แฟนผมเอง) มาด้วย ทนายโจทก์โอเค ต้องเลื่อน เดี๋ยวแจ้งกับศาล
ถึงคิวแล้ว ศาลท่านก็เรียก ทั้งทนายโจทก์ และผมไปยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน ท่านก็ถามว่าตกลงกันได้มั้ย ทนายโจทก์บอกว่า ตกลงธนาคารจะให้ผ่อน แต่ขอเลื่อนนัดเพื่อมาทำยอม เนื่องจากวันนี้จำเลยที่ 2 ไม่มา ท่านก็ถามว่ายอดเท่าไหร่ที่จะทำยอมกัน ทนายบอกยอดแสนกว่า ศาลท่านดูตัวเลขในคำฟ้อง แล้วบอกทนายโจทก์ว่า แค่ 8 หมื่นกว่านี่ ทำไมไปเก็บเขาเป็นแสน ทำเสียงดุ ทนายโจทก์ก็รีบอธิบาย ว่าของบัตรหลักเท่าไหร่ บัตรเสริมเท่าไหร่ ซึ่งผมเข้าใจแล้วว่าทนายโจทก์ผิด เพราะมูลฟ้องและเงินที่เรียกร้องจากจำเลยที่ 1 มันมีตัวเงินของบัตรเสริมอยู่ในนั้นแล้ว แต่ทนายนำยอดของจำเลยที่ 2 ซึ่งนับแยกไว้ต่างหาก มารวมอีก ทำให้มันซ้ำซ้อน ผมจึงขออนุญาตท่านให้ผมชี้แจง ผมบอกท่านว่าเท่าที่ผมจำได้จากคำฟ้องยอดรวมจะต้องเป็น 8 หมื่น ไม่ใช่แสนกว่า ตามที่ทนายโจทก์แจ้ง แต่ผมพูดได้ไม่มาก…
ศาลให้คำแนะนำ ใจดีมาก พูดนิ่มๆ
ท่านขัดผมเสียก่อน และบอกผมว่า ...
สิ่งใดก็ตามที่จำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้อง จำเลยมาพูดปากเปล่าแบบนี้ศาลนำมาพิจารณาไม่ได้ จะต้องทำคำให้การแจ้งกับศาลให้ชัดเจน ศาลยินดีเสมอ และหากคิดว่าโจทก์ไม่ถูกต้องก็ขอต่อสู้คดีได้ ศาลไม่ได้ปิดโอกาสลูกหนี้เลย แต่ต้องไปคิดพิจารณาให้ดีๆ เพราะธนาคารก็มีหลักฐานเอกสาร มีอัตราดอกเบี้ยต่างๆ บอกไว้ชัดเจน และธนาคารก็สามารถเรียกเก็บทุกอย่าง โดยใช้ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นข้อปฎิบัติ แบบที่ได้แนบสำเนาประกาศมาในคำฟ้อง ก็ลองไตร่ตรองดู นัดหน้า ถ้าหากคิดว่ายอดหนี้ไม่ถูกต้อง หรือมีอะไรที่คิดว่าจะสู้คดีกับโจทก์ ก็ให้เตรียมมาให้พร้อม ศาลยินดีที่จะพิจารณาพยานบุคคล หรือจะเป็นพยานเอกสารก็ได้ และคงต้องไปแต่งตั้งทนายมาด้วย ซึ่งจำเลยก็คงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ก็คิดดูให้ดี หรือจะมาทำยอมกันในนัดหน้าก็ได้ ถ้าสามารถตกลงกับโจทก์ได้... ผมเลยเรียนท่านว่า จะไปคิดดู และจะลองคุยกับทนายโจทก์อีกครั้งว่ายอดเท่าไรกันแน่ เสร็จแล้วศาลท่านก็ให้โจทก์ จำเลยนัดวันกับ จนท. หน้าบัลลังก์ ก็ได้วันนัดใหม่ ในอีก 2 เดือนข้างหน้า
เสร็จแล้วก็กลับมานั่งที่ม้านั่งยาว คุยกับน้องสมาชิกชมรม ว่าเข้าเวบน่ะใช้นามแฝงอะไร น้องเขาบอกว่าเข้าไปอ่านอย่างเดียว ไม่ได้เขียนแสดงความเห็นอะไร แล้วน้องเขาก็ถามนามแฝงผม ผมบอก เอาไว้คุยกันทีหลังนะ ก็ขอเบอร์โทรไว้ บอกว่า แล้วพี่จะโทรไปคุยด้วย...
ผมได้ข้อพิสูจน์ในการไม่ยื่นคำให้การในครั้งนี้ โดยพยายามพูดปากเปล่า ผลก็เป็นอย่างที่เล่ามา ผมจึงขอยืนยันกับทุกคนที่จะไปศาลอีกสักครั้งว่า...อยากจะชี้แจงเรื่องอะไรในคดี ต้องทำเป็นเอกสารยื่นเป็นคำให้การให้ชัดเจนเท่านั้น ศาลจึงจะรับฟัง นำไปพิจารณาให้เราได้ เพราะเป็นสิทธิของเรา ตามข้อกำหนดของกฎหมายแพ่ง
ผมมาทำยอม เป็นหนี้ต้องใช้ ถึงเวลาก็ต้องใช้คืน บางคดีที่ปิดด้วยการ hair cut นั่นก็คือความลงตัว แต่คดีไหนเกิดรวบรวมเงินไม่ทัน ก็ต้องผ่อนไปตามยอม จัดให้เจ้าหนี้ไป ตามที่ตั้งเป้าไว้ล่วงหน้าแบบเรารับได้ เพราะดูแล้ว ยอดรวมที่ต้องผ่อนต่อเดือน ยังไม่เกิน 30% ซึ่งผมพยายามเดินแนวทางนี้ ผมจำได้ว่าแนวความคิดเรื่องการใช้คืนมันเปลี่ยนไปจากเดิม ที่เคยคิดจะให้อายัดเงินเดือน 30% ไปเลย แต่ตอนนี้ผมเลือกในแบบที่เหมาะกว่าแทน[/color]