.
ก็อย่างที่ผมเคยเกริ่นว่าไปในด้านบนนั่นแหละครับว่า ไอ้โครงการ“คลินิกแก้หนี้”ตัวนี้ มันเป็นเพียงแค่การขอความร่วมมือจากทางแบงก์ชาติ...
ไม่ได้เป็นกฎหมาย...และ
ไม่ได้บังคับ
เจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงินรายไหนอยากจะให้ความร่วมมือก็ได้ ถ้าให้ความร่วมมือก็ลงนามในสัญญา MOU กัน...หรือสถาบันการเงินรายใด จะไม่ให้ความร่วมมือก็ได้ ดังนั้น จึงไม่มีสถาบันการเงินที่เป็น Non-Bank รายใด ที่ลงนามในสัญญา MOU เลย
แม้แต่รายเดียว...ขนาดธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และธนาคารฮ่องกงแบงก์(HSBC) มันยังไม่ร่วมลงนามให้ความร่วมมือด้วยเลย ลองไปดูในรายชื่อ
“ทั้งหมด”ให้ดีๆสิครับ ว่ามันมีรายชื่อซะที่ไหนกัน
สาเหตุที่ลูกหนี้ผู้ถือบัตรต่างๆ ที่สนใจใน“โครงการคลินิกแก้หนี้”
แต่ว่าสมัครแล้ว ไม่สามารถผ่านการอนุมัติได้เลยสักคน
1. ลูกหนี้คนนั้น จะต้องเคยหยุดจ่ายหนี้มาก่อน อย่างน้อยก็ต้องหยุดจ่ายตั้งแต่ 2ใบขึ้น และได้หยุดจ่ายมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว จนกระทั่งตัวของลูกหนี้คนนั้น ได้ติด Blacklist อยู่ในเครดิตบูโรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2560…
ถ้าใครที่เพิ่งเริ่มหยุดจ่าย หรือติดมา Blacklist ภายหลังจากวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ไปแล้ว...สมัครไม่ผ่าน
2. หากลูกหนี้ที่ต้องการจะสมัครเข้าในโครงการนี้ ในอดีตเคยเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือมีเงินเดือนประจำ แต่ปัจจุบันตกงาน หรือลาออกมาประกอบอาชีพส่วนตัว หรือทำงานฟรีแลนซ์ ไม่มีเอกสารใบรับรองเงินเดือนหรือสลิปเงินเดือน มาประกอบแนบกับใบสมัครด้วย...
สมัครไม่ผ่าน
3. หากปัจุบันลูกหนี้มีอายุมาก หรือเกษียณอายุจากการทำงานแล้ว...
สมัครไม่ผ่าน
4. ลูกหนี้ที่เคยถูกเจ้าหนี้ฟ้องศาลมาแล้ว แม้แต่คดีเดียว...
สมัครไม่ผ่าน
5. ลูกหนี้ที่จะสมัครเข้าโครงการตัวนี้ จะต้องถูกบังคับให้เอาเจ้าหนี้เข้าร่วมในโครงการให้หมด ทุกเจ้าหนี้ ทุกบัตร-ทุกราย
ห้ามยกเว้นแม้แต่รายเดียว
6. สมมุติว่า ลูกหนี้ที่สนใจจะเข้าสมัคร มีบัตรเครดิตและบัตรกดเงินทั้งหมด 5ใบ และเคยติด Blacklist อยู่ในเครดิตบูโรมาก่อนแล้ว ก่อนจะถึงวันที่ 1 พฤษภาคม (ตรงตามเงื่อนไขของข้อ 1.) และต่อให้ยังไม่เคยถูกฟ้องศาลเลยก็ตาม แต่ดันมี 1ในบัตรที่ลูกหนี้ถืออยู่ เป็นบัตรของพวก Non-Bank ต่างๆ…อาทิเช่น
บัตร อิออน , ยูเมะพลัส , KTC , เฟิร์สช้อยส์ , บริษัทบัตรกรุงศรี , พรอมิส , เอมันนี่ , เจมันนี่ , ควิกแคช , อยุธยาคาร์ด , บัตรเครดิตโลตัส , บัตรเครดิตบิ๊กซี , บัตรเครดิตโรบินสัน , บัตรกรุงศรีโฮมโปร , เซนทรัลการ์ด , จีอีมันนี่...ฯล...จะสมัครไม่ผ่าน เพราะพวก Non-Bank ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ มันไม่ได้เข้าร่วมในโครงการคลินิกแก้หนี้ด้วย
เพราะข้อกำหนดในข้อ 5. บังคับเอาไว้ว่า ลูกหนี้จะต้องเอาเจ้าหนี้เข้าร่วมในโครงการนี้ให้หมด ทุกเจ้าหนี้ ทุกบัตร-ทุกราย ห้ามยกเว้นแม้แต่รายเดียว ดังนั้น
หากลูกหนี้ดันมีบัตรที่เป็นเจ้าหนี้ประเภท Non-Bank เพียงใบใดใบหนึ่ง ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมในโครงการนี้ได้เลย
สรุปแล้ว โครงการคลินิกแก้หนี้ตัวนี้ ทางแบงก์ชาติออกมาตรการมาเป็นเพียงแค่“
ยาหอม”เพื่อลดแรงที่ถูกด่า ในช่วงที่โดนด่ามากๆ ก็เท่านั้นเองครับ ว่ามีลูกหนี้ที่ติด Blacklist อยู่
3ล้านราย(ณ ต้นปี 2560) ทางแบงก์ชาติไม่คิดที่จะทำอะไรบ้างเลยหรือ?
แบงก์ชาติก็เลยลดกระแสที่ถูกด่าอย่างหนัก(ในช่วงขณะนั้น) โดยการหยิบยกเอา“สัญญาประนอมหนี้” หรือ “สัญญาปรับโครงสร้างหนี้” ที่มีอยู่แล้วของเดิม มาทำการปัดฝุ่นใหม่ โดยการเปลี่ยนชื่อให้มันดูไพเราะเพราะพริ้ง ว่าเป็น“
โครงการคลินิกแก้หนี้” โดยมอบหมายให้ SAM เป็นผู้ดำเนินการแทนในการคัดกรองและเจรจา
แล้วก็เอาดอกเบี้ยในระหว่างที่ผ่อนตามสัญญาคลินิกแก้หนี้ ว่าเป็นดอกเบี้ยราคาถูกมาก(ไม่เกิน 7% ต่อปี) มาเป็น“
ตัวล่อ”ให้ลูกหนี้มีความหวังแบบ ลมๆแล้งๆ ไปวันๆ...จะได้ลืมเรื่องการด่าแบงก์ชาติไปก่อน
เสร็จแล้วแบงก์ชาตก็มาอ้างว่า ทางแบงก์ชาติได้มีการทำโครงการเพื่อลดจำนวนลูกหนี้ที่ติด Blacklist มากถึง 3ล้านคนให้แล้วนะ...แต่...ดันตั้งเงื่อนไขที่จะสามารถสมัครได้ผ่าน เอาไว้อย่างมหาโหด โดยไม่บอกความจริงให้ประชาชนที่เป็นลูกหนี้ได้รับทราบเลยแม้แต่น้อย
มาถึง ณ วันนี้...ก็กลางปี พ.ศ.2561 แล้วนะครับท่านแบงก์ชาติ
ผ่านมาปีกว่าแล้วนะครับท่าน
ตอนนี้ตัวเลขของลูกหนี้ที่ติด Blacklist อยู่ในเครดิตบูโร พุ่งสูงเกินกว่า 3ล้านคนไปมากแล้วนะครับ มีลูกหนี้ที่สมัครในโครงการคลินิกของท่าน แล้วผ่านการอนุมัติสักกี่คนครับ?
ถึงหนึ่งพันคนแล้วหรือยัง?
แล้วปีนี้...ท่านคิดจะทำโครงการ“ยาหอม”ที่มีชื่อว่าอะไรขึ้นมาอีกล่ะครับ?
ประชาชนอย่างพวกผมอยากรู้ครับ
เอ้า...ใครที่เข้ามาอ่านจนถึงจุดนี้แล้ว อยากจะสมัครเข้าใน“โครงการคลินิกแก้หนี้” ก็เชิญได้เลยนะครับ…ไม่ว่ากัน
แต่ถ้าผมเป็นลูกหนี้อย่างพวกคุณแล้วล่ะก็ แทนที่ผมจะเอาเวลาไปสมัครเข้าร่วมในโครงการตัวนี้ ผมจะไปทำงานอื่นให้มากๆ เพื่อที่จะเก็บเงินเอาไว้ Hair cut กับเจ้าหนี้ดีกว่าครับ ดีกว่ามาเสียเวลาไปยื่นใบสมัครแล้วก็ไม่ผ่าน
เสียเวลา เสียค่ารถ เสียทั้งค่าถ่ายเอกสารต่างๆ สู้ทำงานเก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ เพื่อรอวันหมดหนี้ดีกว่าครับ
หรือไม่ก็รอลุ้นกันว่า ปีนี้ ทางแบงก์ชาติจะมีโครงการ“
ยาหอม”ตัวใหม่อะไร ที่จะออกมาให้ลูกหนี้ได้“
จั๊กกะจี้”เล่น...ก็สนุกดีนะครับ
ปล. ท่านผู้ว่าฯแบงก์ชาติกรุณาอย่าโกรธผมนะครับ
ที่ผมนำเอาความจริงมาเปิดเผยให้ประชาชน
โดยเฉพาะลูกหนี้ได้รับทราบ...555
.