toon1988 เขียน: ขอบคุณมากค่ะ คุณนกกระจอกเทศ
ขออนุญาติแนบสัญญามาให้พิจารณาด้วยค่ะ เผื่อได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ลูกหนี้ได้ไปเซ็นต์ไว้ต่อหน้าศาล มีข้อความดังนี้
รายละเอียดในสัญญาประนีประนอมยอมความ
เนื้อหาในสัญญา ตามข้อ 1.
ข้อ 1. จำเลยตกลงชำระหนี้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 34,258.30 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 27,380.11 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 สิงหาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยแบ่งการผ่อนชำระออกเป็นงวดรายเดือนๆ ละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 12 งวด เริ่มงวดแรกชำระภายในวันที่ 26 ตุลาคม 2559 งวดต่อไปทุกภายในวันที่ 26 ของทุกเดือนติดต่อกันไปจนกว่าจะชำระให้เสร็จสิ้นแก่โจทก์ โดยชำระผ่านบัญชีหมายเลข xxxx xxxx xxxx xxxx หรือช่องทางการชำระเงินที่โจทก์กำหนด
ความหมายก็คือ : ลูกหนี้ยอมตกลงที่จะผ่อนจ่ายเงินคืนให้กับโจทก์ ภายในระยะเวลา 1ปี(12 เดือน)
ตามยอดหนี้รวมทั้งหมดที่ถูกฟ้อง เป็นจำนวนเงิน 34,258.30 บาท
และในระหว่างที่ผ่อนนี้ ลูกหนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย ในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี(7.5% ต่อปี)
โดยดอกเบี้ยที่ว่านี้ ให้คิดคำนวณมาจากเงินต้นที่ 27,380.11 บาท (ไม่ใช่คิดคำนวณเอามาจากยอดหนี้รวมทั้งหมดที่ถูกฟ้อง 34,258.30 บาท) และให้มีการคิดดอกเบี้ยที่ว่านี้"
ย้อนหลัง"ไปอีกด้วย โดยให้เริ่มคิดดอกเบี้ยย้อนหลัง นับจากวันที่ลูกหนี้โดนฟ้องเป็นต้นไป
(ฟ้องวันที่ 11/สิงหาคม/2559)...และดอกเบี้ยจำนวนนี้ จะเดินตามตูดลูกหนี้ไปทุกเดือน
(มีการคิดดอกเบี้ยไปเรื่อยๆทุกเดือน) จนกว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ให้หมด
ภายใน 1ปี
กำหนดให้ลูกหนี้ต้องจ่ายเงินค่าผ่อนหนี้ในแต่ละเดือน เข้าที่บัญชีหมายเลข xxxx xxxx xxxx xxxx หรือตามช่องทางการผ่อนชำระอื่นๆ ตามที่เจ้าหนี้ได้กำหนดเอาไว้
เราลองมาคิดคำนวณทั้ง
ดอกเบี้ยย้อนหลัง และ
ดอกเบี้ยเดินหน้า(ดอกเบี้ยเดินตามตูด) ตามที่เขียนเอาไว้ในสัญญากันก่อนดีกว่า
ในสัญญาเขียนเอาไว้ว่า การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวนี้
ให้คิดจากยอดเงินต้นที่ 27,380.11 บาท...ไม่ใช่คิดดอกเบี้ยเอามาจากยอดหนี้สูงสุดที่ถูกฟ้อง(34,258.30 บาท)
โดยดอกเบี้ยที่ว่านี้ ในสัญญาให้คิดในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี...ซึ่งถ้าคิดเป็นดอกเบี้ยต่อเดือน ก็จะได้เท่ากับ
= ดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต์
ต่อปี หารด้วย 12 เดือน
= 15 ÷ 12 = ร้อยละ 0.63 ต่อเดือน (0.63% ต่อเดือน)
เอาเงินต้นตั้ง คูณด้วยดอกเบี้ยต่อเดือน(ตามบัญญัติไตรยางศ์) ก็จะได้ดังนี้
= เงินต้น 27,380.11 บาท ÷ 100 x 0.63
=
ดอกเบี้ย 171.13 บาท ต่อเดือน
ดอกเบี้ยจำนวน 171.13 บาทต่อเดือนนี้ ให้ลูกหนี้ต้องจ่ายย้อนหลังไปจนถึง
วันที่ 11 สิงหาคม 2559ด้วย และดอกเบี้ยที่ว่านี้ จะเดินตามตูดลูกหนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชำระหนี้ให้หมดภายใน 1ปี
โดยอัตราดอกเบี้ยจำนวนนี้ จะไม่ปรับลดลงเลย จนกว่า
ยอดหนี้ที่คงเหลือ(ยอดหนี้ที่เหลืออยู่) จะมีจำนวนเหลือน้อยกว่า
ยอดหนี้เงินต้นตามที่เขียนไว้ในหมายฟ้อง(27,380.11 บาท)...และเมื่อใดก็ตาม ที่ยอดหนี้คงเหลือ มียอดตัวเลขเหลือน้อยกว่าเงินต้นตามที่เขียนไว้ในหมายศาลแล้ว ดอกเบี้ยที่ว่านี้จึงจะลดลงเป็นไปในอัตราอัตรา"
ลดต้น-ลดดอก"ต่อไป
ทีนี้มาดู
ดอกเบี้ย"ย้อนหลัง"กันก่อน...ในสัญญากำหนดให้ลูกหนี้
ต้องจ่ายดอกเบี้ย"ย้อนหลัง"ไปจนถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ด้วย
โดยลูกหนี้ได้ไปเป็นเซ็นต์"
สัญญาประนีประนอมยอมความ"ไว้ต่อหน้าศาล ณ วันที่ 26 กันยายน 2559 แต่ในสัญญากำหนดให้ลูกหนี้ต้องเริ่มผ่อนชำระหนี้
งวดแรก ในวันที่ 26 ตุลาคม 2559
นั่นก็หมายความว่า ลูกหนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยย้อนหลังทั้งหมด
เป็นจำนวน 2เดือนกว่าๆ (ดอกเบี้ยย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 11/ส.ค./59 จนถึง วันที่ 26/ต.ค./59) ด้วยเหตุที่ลูกหนี้เริ่มผ่อนจ่ายหนี้งวดแรกจริงๆ ในวันที่ 26/ต.ค./59 เป็นต้นไป...ดังนั้น
จึงต้องคิดดอกเบี้ยย้อนหลังเป็นจำนวนรวมทั้งหมดเท่ากับ 3เดือน
(ต้องปัดเศษขึ้นให้เป็นจำนวนเต็ม)
= ดอกเบี้ย 171.13 บาท x 3 เดือน =
513.38 บาท...นี่คือดอกเบี้ยย้อนหลังทั้งหมด(3 เดือน) ที่จำเลยจะต้องจ่ายด้วย…ตามที่เขียนเอาไว้ในสัญญา
แล้วจำเลยยังจะต้องมีดอกเบี้ยเดินตามตูดไปอีกทุกๆเดือน เดือนละ 171.13 บาท นับตั้งแต่วันที่จำเลยเริ่มผ่อนจ่ายหนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระหนี้ให้หมด โดยดอกเบี้ยจำนวนนี้ จะปรับลดลงได้ก็ต่อเมื่อ จำเลยมียอดหนี้ที่ค้างชำระ เหลือน้อยกว่า
เงินต้นที่ระบุเอาไว้ในหมายฟ้อง(27,380.11 บาท)...แล้วหลังจากนั้น ดอกเบี้ยเดินตามตูดที่ว่านี้ จึงจะลดลงไปเป็นในอัตรา ลดต้น-ลดดอก ต่อไป
ดังนั้น
ยอดหนี้จำนวนเต็มที่ลูกหนี้จะต้องจ่ายก็คือ ยอดหนี้ตัวเลขสูงสุดของคำพิพากษา +
ดอกเบี้ยย้อนหลังไปอีก 3เดือน + ดอกเบี้ย 0.63% ต่อเดือน...เดินตามตูดไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่ผ่อนภายใน 1ปี
ก็จะได้ตามนี้
ยอดหนี้รวมสูงสุดที่ถูกฟ้อง 34,258.3 บาท + ดอกเบี้ยย้อนหลัง
513.38 บาท + ดอกเบี้ยเดินตามตูด 171.13 บาท ต่อเดือน (จนกว่ายอดหนี้ค้างชำระ จะเหลือน้อยกว่า 27,380.11 บาท)
=
34,771.68
บาท
*** ยอดหนี้รวมทั้งหมด ณ วันที่ลูกหนี้เริ่มผ่อนจ่ายหนี้ในงวดแรก *** (วันที่ 26/ต.ค./59)
เนื้อหาในสัญญา ตามข้อ 3.
ข้อ 3. ค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืน ให้เป็นพับ
ความหมายก็คือ : ค่าทนายความของฝ่ายโจทก์ และค่าฤชาธรรมเนียมที่เจ้าหนี้ใช้ฟ้องศาล...ลูกหนี้ไม่ต้องจ่าย
เนื้อหาในสัญญา ตามข้อ 4.
ข้อ 4. โจทก์และจำเลย ตกลงตามข้อ 1-3 ไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดต่อกันอีก
ความหมายก็คือ : ทั้งฝ่ายเจ้าหนี้และลูกหนี้ ตกลงยินยอมในการปฎิบัติตามสัญญาของข้อ 1-3 ทุกประการ และจะไม่สามารถไปยื่นอุทธรณ์เรียกร้องสิทธิ์อะไรเพิ่มเติมได้อีก ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
หากลูกหนี้จะทำเป็นตารางผ่อนจ่าย ตามสัญญายอมความ
ก็จะได้ดังตารางนี้
เนื้อหาในสัญญา ตามข้อ 2.
ข้อ 2. หากจำเลยผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง ให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ในส่วนที่เหลือทั้งหมด ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ในยอดหนี้ตามทุนทรัพย์ จำนวน 34,258.30 บาท หักด้วยจำนวนเงินที่จำเลยชำระมาภายหลัง พร้อมทั้งยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของยอดหนี้ที่ค้างชำระ (แต่ไม่เกินต้นเงินจำนวน 27,380.11 บาท) นับแต่วันที่ผิดนัดชำระเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ความหมายก็คือ : ถ้าหากลูกหนี้ผิดนัดของสัญญา ไม่ว่าจะในงวดใดๆก็ตาม ให้ถือว่าลูกหนี้ยินยอมให้เจ้าหนี้ปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 15 ต่อปี(15% ต่อปี)ได้ทันที โดยให้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นที่เหลืออยู่จริง หลังจากที่ลูกหนี้ได้กระทำการผิดสัญญาแล้ว ในอัตรา 15% ต่อปี
(ให้ยกเลิกดอกเบี้ยที่ 7.5% ต่อปี โดยปรับดอกเบี้ยให้เป็น 15% ต่อปีแทน หากลูกหนี้ผิดนัดสัญญา)
โดยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนี้ จะเดินตามตูดต่อไปเรื่อยๆแทน จนกว่าลูกหนี้จะจ่ายหนี้ให้หมด หรือจนกว่าลูกหนี้จะถูกบังคับคดี
(ยึดทรัพย์/อายัดเงินเดือน)มาใช้หนี้ให้หมด
ตัวอย่างเช่น
- หากลูกหนี้ไปผ่อนจ่ายหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง(ของการผ่อนปีแรก) น้อยกว่า 2,000 บาทต่อเดือน ก็จะถือว่าลูกหนี้ผิดในข้อตกลงของสัญญา เจ้าหนี้สามารถปรับเปลี่ยนการคิดดอกเบี้ยใหม่ จากเดิมที่คิดดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี ให้เปลี่ยนเป็นดอกเบี้ย 15% ต่อปีแทน ได้ทันที...และเจ้าหนี้สามารถยื่นเรื่องในการบังคับคดี
(ยึดทรัพย์/อายัดเงินเดือน)ของลูกหนี้ได้อีกด้วย
- หากลูกหนี้ไปผ่อนจ่ายหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง(ของการผ่อนปีแรก) เกินกว่าวันที่ 26 ของเดือนนั้นๆ ก็จะถือว่าลูกหนี้ผิดในข้อตกลงของสัญญา เจ้าหนี้สามารถปรับเปลี่ยนการคิดดอกเบี้ยใหม่ จากเดิมที่คิดดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี ให้เปลี่ยนเป็นดอกเบี้ย 15% ต่อปี ได้เช่นกัน...และเจ้าหนี้สามารถยื่นเรื่องในการบังคับคดี
(ยึดทรัพย์/อายัดเงินเดือน)ของลูกหนี้ได้อีกด้วย
-
และเมื่อลูกหนี้ผ่อนจ่ายหนี้ เดือนละ 2,000.-บาท ทุกงวดไปเรื่อยๆ จนถึงงวดที่ 11 แล้ว
พอมาถึงงวดที่ 12
(งวดสุดท้ายแล้ว ของการคิดดอกเบี้ยที่ 7.5% ต่อปี) ลูกหนี้จะต้องไปหาเงินก้อน มาชำระหนี้คืนแบบ
จ่ายทุ่มเพียงก้อนเดียว เพื่อโปะจ่ายส่วนหนี้ต่างที่ยังอยู่เหลืออีก
14,414.40 บาทให้ได้...จึงจะหมดหนี้ตามสัญญาที่กำหนดไว้
แต่ถ้าหากลูกหนี้ไม่มีเงินก้อนมาโปะตามยอดหนี้ดังกล่าว ลูกหนี้ก็ยังคงสามารถเดินหน้าผ่อนจ่ายต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ในจำนวนเงินเดือนละ 2,000 บาทเหมือนเดิมก็ได้
โดยเจ้าหนี้ก็จะเอายอดหนี้ที่ยังเหลืออยู่
(หลังจากผ่อนจ่ายไปเรื่อยๆจนถึงงวดที่ 12 แล้ว) จำนวน 12,504.49 บาท(ตามในตารางด้านบน)อันนี้แหละ ไปคิดดอกเบี้ยในอัตรา 15% ต่อปี ไปเรื่อยๆ...จนกว่าจะหมดหนี้
(หนี้ที่ลูกหนี้จะต้องจ่ายภายหลังจากนี้ต่อไป ก็คือ = 12,504.49 บาท + ดอกเบี้ย15%ต่อปี ของเงินต้นที่ยังเหลืออยู่ โดยคิดดอกเบี้ยเป็นแบบอัตรา ลดต้น-ลดดอก เหมือนเดิม)
หากลูกหนี้อยากจะขอผ่อนต่อไปอีก ซึ่งก็คืองวดละ 2,000.-บาทเหมือนเดิมก็ได้ แต่เจ้าหนี้จะขอคิดดอกเบี้ยเป็น 15% ต่อปี จากหนี้เงินต้นที่ยังคงเหลืออยู่จริง
เพราะใน
สัญญาประนีประนอมความความดังกล่าว ดอกเบี้ย
"โปรโมชั่น"ที่คิดในอัตราร้อยละ
7.5 ต่อปี ได้หมดลงไปแล้ว...ลูกหนี้อยากจะผ่อนต่อไปก็เชิญ แต่คราวนี้ทางฝ่ายเจ้าหนี้จะขอคิดดอกเบี้ยเป็นอัตรา ร้อยละ 15 ต่อปีแทน แล้วนะ
ดังนั้น ถ้าหากลูกหนี้จะยังคงเดินหน้าผ่อนจ่ายต่อไปเหมือนเดิม(งวดละ 2,000 บาท) มันก็จะเป็นไปตามตารางในด้านล่างนี้
หากลูกหนี้จะใช้วิธีการ"
ทำหน้ามึน"ผ่อนจ่ายหนี้เหมือเดิมต่อไปเรื่อยๆก็ได้ แต่ลูกหนี้จะต้องผ่อนจ่ายหนี้ไม่น้อยกว่า 2,000 บาทต่อเดือน และห้ามจ่ายเกินกว่าวันที่ 26 ของทุกเดือน เหมือนเดิมทุกประการ
โดยผ่อนต่อไปถึงแค่งวดที่ 19...ก็หมดหนี้แล้ว
(งวดสุดท้ายผ่อนจ่ายแค่ 1,200.-บาท) ตามที่คำนวณได้จากในตาราง
สรุป หากคุณไม่มีเงินก้อนไปจ่ายปิดบัญชีได้ ในงวดสุดท้าย
(จำนวน 14,414.40 บาท) ตามที่คำนวณได้จากในตารางอันที่ 1 (ตารางในด้านบน อันแรก)
คุณก็"
ทำหน้ามึน"จ่ายผ่อนต่อไปเรื่อยๆสิครับ...หากเกิน 12 งวดไปแล้ว มันก็จะมีดอกเบี้ยเดินตามตูดคุณอีก15% จากยอดหนี้ที่คงเหลือ
(12,504.49 บาท)นั่นแหละครับ
ถ้าหากคุณยัง"
ทำหน้ามึน"ส่งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เจ้าหนี้มันก็ไม่บังคับคดีหรอกครับ
"ทำหน้ามึน"(ไม่รู้ไม่ชี้)ส่งต่อไปเรื่อยๆ อีกประมาณ 7เดือน ก็หมดหนี้แล้ว
มีเคล็ดลับที่อยากจะฝากบอกให้ทราบอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ...ลูกหนี้ยังสามารถทำ Haircut ได้ตลอดเวลา ในระหว่างที่ยังผ่อนจ่ายหนี้แบบนี้
ไม่ว่าจะเป็นช่วงของเวลาในการผ่อนจ่ายหนี้ใน 1ปีแรก
(ผ่อนจ่ายตามสัญญายอมความที่ไปเซ็นต์ไว้ต่อหน้าศาล) หรือ จะอยู่ในช่วงของการ"
ทำหน้ามึน"ผ่อนจ่ายต่อไป หลังจากที่เกิน 1ปีไปแล้วก็ตาม
หากลูกหนี้มีเงินก้อนถือไว้อยู่ในเมือไหร่ ลูกหนี้ก็ยังสามารถโทรไปเจรจาขอทำ Haircut กับเจ้าหนี้ได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา ที่ลูกหนี้มีเงินพร้อมแล้ว
อย่าลืมนะครับว่า Haircut สามารถทำได้ตลอดชีพ
ตามที่ผมได้เขียนอธิบายรายละเอียดเอาหมดไว้แล้ว อยู่ในกระทู้นี้
ใครที่ยังไม่เข้าใจว่า Hair cut คืออะไร?...กรุณาเข้ามาอ่าน
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=749&Itemid=64
ปล. ใครที่อยากเห็นรูปหมายศาล และตารางการผ่อนจ่าย ให้เป็นรูปภาพขนาดใหญ่ขึ้น ให้เลื่อนเมาส์ไปที่รูปภาพ นั้นๆ แล้วกด คลิ๊กขวา
แล้วเลือกที่บรรทัดแรก คำว่า Open link in new tab ก็จะได้เห็นรูปภาพที่อยากดู มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น