ขอบคุณ คุณอาประพัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ที่ทำให้ผมหลุดพ้นจากหนี้มหาโหด

คุณ arafa เรื่องการต่อสู้ทางศาล ลองปรึกษาคุณอาประพัฒน์ ที่ให้คำปรึกษาทุกบ่ายวันอาทิตย์ ดีกว่าครับ แนวทางการต่อสู้ เรื่องดอกเบี้ย หรือเรื่องเงินที่ส่งไปแล้ว คุณอาประพัฒน์จะชี้แจงให้เข้าใจครับ ว่าแนวทางไหนจะทำให้เราได้ประโยชน์สูงสุด เพราะก่อนขึ้นศาลเราต้องศึกษาและทำความเข้าใจด้วยครับ

ผมมีเรื่องแจ้งความคืบหน้าของคดี KTC ให้ทราบ

ศาลตัดสินคดีผมมาแล้วเกือบ 3 เดือน ก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมศาลไม่ส่งคำตัดสินมาที่บ้านผมสักที ผมจะได้เริ่มจ่ายต่อไปตามคำสั่งศาล

ด้วยความกังวลใจ จึงสอบถามไปที่ทนายของ KTC ทราบว่าขณะนี้ KTC กำลังยื่นขอขยายเวลาที่จะทำการอุทรณ์ต่อ เพราะว่าแพ้คดี ผมเลยไปเช็คข้อมุลที่ศาล ปรากฏว่าเป้นเช่นนั้นจริงๆ และทาง KTC ทำเรื่องขอขยายเวลาอุทรณ์มาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว (ครั้งละ 1 เดือน) เพราะยังทำเอกสารและข้อมูลแย้งคำสั่งศาลขั้นต้นไม่เสร็จ

นี่เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายของผม
ข่าวดีคือ ตอนแรกผมตั้งใจที่จะทำเรื่องขออุทรณ์ต่อ เพราะยังไม่พร้อมที่จะจ่ายตามคำสั่งศาล แต่อุทรณ์ไม่ได้ เพราะผมเป็นฝ่ายชนะคดี เลยจำใจว่าจะต้องกัดฟันผ่อน แต่คราวนี้ผมสมใจแล้ว เพราะ KTC ขออุทรณื แสดงว่าผมก็ยังไม่ต้องผ่อน เพราะต้องรอให้ศาลตัดสินให้เสร็จสิ้นก่อน ถามจากคุณอาประพัฒน์คาดว่าอาจใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปี กว่าคดีผมจะขึ้นศาล เพราะศาลมีนบุรีที่ผมถูกฟ้อง คดีแบบนี้จะเยอะมากอันดับต้นๆ ของประเทศ

ข่าวไม่ดี คือ ถ้าอุทรณ์แล้วผมแพ้ ผมจะต้องจ่ายตามที่ KTC ฟ้อง พร้อมดอกอีก 15% แต่ก็พอมีทางออกแล้วแหล่ะครับ ว่าถ้าแพ้ในขั้นอุทรณ์ ผมจะขอฏีกา เผื่อจะกลับมาชนะ และถ้าฏีกาแล้วผมเกิดกลับมาชนะ แนวทางในการต่อสู้ของผม จะถูกนำมาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีเกี่ยวกับบัตรเครดิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้อย่างเราๆ ท่านๆ ทุกคนเป็นอย่างมาก

มีความคืบหน้ายังไง ผมจะมาแจ้งให้ทราบ.....ช่วยลุ้นกันหน่อยนะครับ

ขอบคุณ คุณ naiaek มากค่ะ ถ้าโดนฟ้องคงจะไปปรึกษาคุณอาประพัฒน์ ค่ะ พอดีอยู่ต่างจังหวัด(เชียงใหม่) แต่ก็คงต้องไปค่ะ ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ และขอเป็นกำลังใจ สู้ต่อไปค่ะ และลุ้นช่วยค่ะ

ขออนุญาตเสนอ(เสือก)ความเห็นนะครับ ด้วยระบบศาลบ้านเรายังยึดมั่นในระบบกล่าวหาและการใช้ดุลพินิจของศาลในการตัดสินเป็นสำคัญ โจทย์(หมายถึงเจ้าของบัตร)ได้กล่าวหาเราต่างๆนาๆศาลก็มองแต่เพียงว่าคำโต้ข้อกล่าวหาของเราฟังได้รึรับฟังไม่ได้ก็สุดแท้แต่ดุลพินิจของศาลท่านนั้นๆ เหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่เรายกขึ้นมาสู้ที่เรายกมาอ้างว่านี้มึง(ฝ่ายโจทย์)ละเมิดกฎระเบียบของผู้กำหนดมาตรการณ์ต่างๆจากผู้มีหน้าที่กำหนด(ตัวอย่างเช่นธนาคารแห่งประเทศไทย)โจทย์จึงไม่มีสิทธิ์ฟ้องนี่หว่า อันนี้เราก็ต่อสู้กันตามคดีผู้บริโภคที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมนะครับ แต่ศาลบ้างท่านก็อาจใช้ดุลยพินิจคดีแพ่งอย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าเป็นที่นับเป็นคดีผู้บริโภครึไม่ตัดสินว่า คำยินยอมในทางแพ่งกับการยอมจ่ายใช้หนี้มาก่อนหน้านี้เท่ากับยอมรับโดยปริยายที่จำเลยอ้างมาจึงไม่อาจรับฟังได้ สรุปตามความเห็นของผมนะครับศาลบางท่านเห็นว่า เราเป็นหนี้(ธนาคารบริษัทบัตรใหญ่โต)คุณมีหน้าที่ใช้ตามกฎเกณฑืที่เค้าทำสัญญาในทางแพ่งไว้ข้ออ้างใดๆของจำเลยล้วนฟังไม่ขึ้น ขึ้นอยู่กับบุญธรรมกรรมแต่งครับถ้าจะสู้ก็ขอให้โชคดีเหมือนสมาชิกท่านอื่นๆหลายท่านนะครับเป็นกำลังใจให้ครับ

ขอบคุณ คุณ resuwit ครับ

ความคิดเห็นของคุณ คือ ยอมจำนนตั้งแต่ต้น งั้นก็คงไม่รู้จะต่อสู้กันไปทำไมนะ ก้มหน้าก้มตาใช้หนี้กันต่อไปก็แล้วกัน มันคิดเท่าไหร่ก็จ่ายๆ มันไป (555)

แต่ผมคิดคนละอย่างนะครับ เรามาในชมรมนี้ เพื่อต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม และความเอารัดเอาเปรียบของเจ้าหนี้ เราไม่ได้ต่อสู้ว่าเราไม่ได้เป็นหนี้นะครับ เราสุ้ว่าเราเป็นหนี้ แต่สิ่งที่เจ้าหนี้คิดคือ คุณคิดมูลหนี้ กับดอกเบี้ยทบนั่น ทบนี่ เกินจริง

แนวทางที่ทางคุรอาประพัฒน์ กำลังต่อสู้เพื่อพวกเราในศาล คือ ชี้ให้เห็นว่า ข้อมุลหนี้จริงๆ เป็นเท่าไหร่ ดอกเบี้ยตามกฏหมายรวมแล้วเป็นเท่าไหร่ แล้วเราจ่ายไปแล้วเท่าไหร่ ถ้าคิดแบบที่ถูกต้อง มูลหนี้ค้างชำระที่เราจะต้องจ่ายจริงๆ คือเท่าไหร่

นี่คือข้อมูล ที่เป็นเหตุเป็นผล และเท่าที่ศาลขั้นต้นตัดสินมาให้ผมชนะคดีทั้ง 2 เคส ก็มาแนวทางนี้ และศาลก็เห็นตามนี้ด้วย จึงตัดสินให้ผมชนะคดี

ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ครับ เหตุและผลและดุลยพินิจของศาลก็เปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับว่า เราให้ข้อมุล และชี้แจงข้อมุลได้น่าเชื่อถือหรือไม่ ถ้าข้อมุลเราน่าเชื่อถือกว่า ศาลก้ตัดสินเข้าข้างเรา ถ้าโจทย์ข้อมุลน่าเชื่อถือกว่า ศาลก็ตัดสินเข้าข้างโจทย์

ผมยอมเอาเคสของผม ต่อสุ้จนถึงที่สุด ถ้าสุดท้ายแล้วผมชนะคดี ผลประโยชน์ก็จะตกกับพวกเราที่เป้นหนี้ทุกคน เพราะจะมีบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีแบบนี้เป็นแม่แบบ แต่ถ้าผมแพ้ ก้ไม่มีอะไรเสียหายนี่ครับ

อยากให้ทุกๆ คนคิดเหมือนผมครับ เพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เจ้าหนี้จะไม่มีทางเรารัดเอาเปรียบได้อีก นึกจะคิดดอก คิดเงินจากลูกหนี้เท่าไหร่ก็ได้ตามอำเภอใจ จะได้หมดไปซะที

naieak เขียน: เรื่องทั้งหมด จริงๆ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ผมเลยครับ

ผมแค่เอาเอกสารหมายฟ้องไปให้คุณอาประพัฒน์
แล้วคุณอาก็เอาไปเขียนคำร้องตามหลักของแก
โดยอ้างที่มา ที่ไป ว่าเงินต้นจริงๆ เท่าไหร่ ดอกเท่าไหร่ จ่ายไปแล้วเท่าไหร่
เวลาให้การในศาล คุณอาประพัฒน์ก็เป็นคนดำเนินการให้

ศาลท่านก็ดูตามเอกสารและคำอธิบายที่คุณอาประพัฒน์เขียน
แล้วก็ตัดสินออกมาตามนั้น

เรื่องของ KTB จริงๆ ผมก้ไม่อยากให้ออกมาเป็นแบบนี้
เพราะผมตั้งใจว่าจะยื้อเวลา เพื่อจะได้ยื่นอุทรณ์
เพื่อขยายเวลาออกไป เพราะช่วงนี้ผมไม่มีเงินจ่าย
แต่พอพิพากษาออกมาว่า ผมชนะคดี
ผมก็เลยอุทรณ์ต่อไม่ได้ ตกกระไดพลอยโจนต้องจ่ายตามศาลสั่ง
นี่ผมก็ยังรอคำพิพากษาที่ส่งมาให้ที่บ้านอย่างเป็นทางการ
เพื่อจะได้เริ่มจ่ายต่อไป
อันนี้เป็นความโชคดีในความโชคร้ายของผมเอง
แต่ก็ได้ลดไปจากมูลฟ้องร่วมสองแสน คุ้มมากครับ

ส่วนของ TMB
คุณอาประพัฒน์ก็ทำเอกสาร เรื่องเงินต้น ดอกเบี้ย และยอดจ่ายเหมือนของ KTC
แต่บทสรุปตอนท้ายคือ ถ้าคิดตามที่คุณอาประพัฒน์คิด
ผมจ่ายเงินให้กับทาง TMB เกินหนี้สินที่ผมมีแล้ว
คือเค้าฟ้องผม 85,598.12 บาท
คุณอาประพัฒน์ชี้แจงให้เห็นว่าผมจ่ายไปแล้ว แสนกว่าบาท
เกินมูลค่าหนี้แล้ว
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นข้อมูลจริง
จึงตัดสินยกฟ้องครับ

แต่ปัญหายังไม่จบหรอกครับ
เพราะตอนนี้ทาง TMB เค้ากำลังยื่นเรื่องขออุทรณ์ต่อ
แล้วได้ผลอย่างไรจะกลับมาเล่าให้ฟังครับ

สิ่งที่อยากจะบอกคือ เวลาไปปรึกษากับคุณอาประพัฒน์
ขอให้ฟังในสิ่งที่แกอธิบายให้เข้าใจอย่างท่องแท้
แล้วทำตามที่แกแนะนำ
ผมเชื่อว่าคำตัดสินของผมทั้ง 2 เคส
จะเป็นแนวทางและบรรทัดฐานที่บ่งบอกว่า
สิ่งที่คุณอาประพัฒน์ทำ และแย้งต่อศาล
เป็นเหตุและผลที่น่าเชื่อถือ และศาลเห็นคล้อยตามนี้
และสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราต่อๆ ไปครับ

อีกอย่างคุณอาแกใจดีมากครับ
ผมให้แกช่วยโดยที่ผมยังค้างค่าตอบแทนแกอยู่เลย
เพราะยังโดนปัญหาเช็คลูกค้าเด้งอยู่ เลยไม่มีเงินไปให้แก
ก็ได้แต่บอกแกว่า ผมจะรีบให้แกทันทีที่ผมมี
แถมยังปรึกษาแก เรื่องเช็คลูกค้าผมเด้งอีกต่างหาก
ผมโชคดีจริงๆ ที่เจอคนดีๆ อย่างคุณอาประพัฒน์ และทุกคนในชมรม

ไม่ใช่แค่คุณอาประพัฒน์คนเดียวนะครับ
พี่อังคณา สวยประหาร ก็ช่วยผมไว้เยอะ
ทั้งๆ ที่แกสุขภาพไม่ดี แกก็ยังสละเวลาไปเป็นเพื่อนผมที่ศาล
ในช่วงแรกของการไปศาล ที่เจรจากับเจ้าหนี้
ทั้งๆ ที่แกกับผมไม่รู้จักกันมาก่อน
ผมไปเจอแกที่สวนลุมครั้งเดียวเท่านั้น
แกก็ช่วยไปศาลเป็นเพื่อผม ช่วยเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ให้
โดยแกไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
ค่าข้าวกลางวันที่ศาลสักมื้อแกยังไม่ให้ผมจ่ายเลย

นี่แหละครับ คนดีๆ และประสบการณ์ดีๆ ของคนในชมรมนี้
ที่ผมอยากจะเล่าสู่ให้สมาชิกทุกคนได้รับทราบ

รบกวนสอบถาม ค่ะ พอดี Kitti ได้รับหมายศาลแล้ว 2 ที่ ก็เลยสงสัยค่ะว่าถ้าสู้คดี แต่ยังไม่มีเงินปล่อยให้อายัดเงินเดินได้ไหมค่ะ รบกวนขอความรู้ด้วยค่่ะ

เท่าที่ผมทราบนะครับคุณ Kitti หลังจากได้รับหมายศาลแล้วมีขั้นตอน ดังนี้

1.วันไปศาลครั้งแรก (ไม่จำเป็นต้องเอาทนายไป) ส่วนใหญ่เจ้าหนี้ จะมาพร้อมข้อเสนอให้เรายอมรับสภาพหนี้ ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ถ้าเราไม่อยากตัดสนิใจ ก็บอกกับศาลว่า สนใจเงื่อนไข แต่ขอกลับไปพิจารณาก่อน จะต้องปรึกษากับใครด้วยก็ว่าไป เช่น สามี ภรรยา พ่อ แม่ พี่น้อง ฯลฯ ส่วนใหญ่ศาลก็จะยอมให้ไปเจรจากันที่ศูนย์์ไกล่เกลี่ย ซึ่งที่ศุนย์ไกล่เกลี่ยก้จะให้เวลาเราไปคิดอีกประมาณ 1 เดือน แล้วนัดมาเจาจากันใหม่

2.วันนัดมาที่ศูนย์ไกล่เกลี่ย คราวนี้อยุ่ที่เราเจาจาแล้วครับ ถ้าคุณพูดให้ จนท.ศูนย์ กับทนายโจทย์เชื่อได้ว่ามีเจตนาที่จะประนอมหนี้กับเขาจริงๆ แต่ยังติด..........(แล้วแต่คุณจะอ้างให้น่าเชื่อถือ) เขาก้จะเลื่อนนัดให้คุณมาเจารจากันอีกครั้งนึง (ประสบการณืผม อยุ่ที่ศุนย์ไกล่เกลี่ย 3 ครั้ง)

3.หากศูนย์ไกล่เกลี่ย และทนายโจทยืไม่ยอมให้เลื่อน หมายถึงว่าคุณตกลงจะสู้คดี เพราะตกลงตามเงื่อนไขที่ดจทย์เสนอไม่ได้ ครั้งต่อไปจะเป็นการนัดสืบพยาน ใช้เวลาจากวันที่ออกจากศุนยืไกล่เกลี่ย ประมาณ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับศาลนั้นๆ ว่าคดีเยอะหรือน้อย

4.ก่อนถึงวันนัดสืบพยาน คุณต้องให้ทนายทำเอกสารไปยื่นที่ศาลก่อนวันนัดประมาณ 7-15 วัน (อันนี้ผมจำไม่ได้ ไม่แน่ใจ) แต่ถ้าคุณตั้งใจแล้วว่าจะสู้คดี คุณอาจให้ทนายทำเอกสารชุดนี้ให้แล้วถือไปให้ตั้งแต่วันที่เจรจาที่ศุนย์ไกล่เกลี่ยก้ได้

5.หลังวันสืบพยาน ศาลจะนัดมาฟังคำพิพากษา ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน

6.หลังคำพิพากษาแล้ว โจทย์หรือศาลจะส่งคำพิพากษาไปให้คุณที่บ้าน ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน (ถ้าคุณไม่ได้ไปฟังที่ศาล และโดยปกติคุณไม่จำเป้นต้องไปฟังก้ได้)

7.แต่ถ้าคุณ ยังไม่มีเงิน คุณสามารถทำเรื่องของอุทรณ์ได้ (แต่จะมีวงเงินอยู่ว่าคดีต้องมีมุลค่าเท่าไหร่ถึงอุทรได้ อันนี้คุณต้องไปเช็คดู) แต่จะอุทรณ์เรื่องอะไร คุณต้องไปปรึกษาทนายดู ว่ามีข้อกกหมายที่ให้อุทรณ์ได้ไหม แต่ถ้าจะอุทรณ์ ศาลจะให้เวลาคุณอุทรณ์ภายใน 1 เดือน นับจากวันตัดสิน

7.1 แต่ถ้าคุณเห็นว่า นับจากวันตัดสิน ถึงวันที่คุณจะอุทรณื มันสั้นเกินไป เพราะได้รับคำพิพากษาช้า คุณมีสิทธิ์ที่จะยื่นขยายอุทรณืได้ ครั้งละ 30 วัน ประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วแต่เหตุผลที่คุณร้องต่อศาล แต่ต้องทำภายใน 30 วัน นับจากที่ศาลตัดสิน และนับจากวันที่คุณขยายอุทรณ์ (ของผมชนะคดี ฝ่ายโจทย์ทำเรื่องเสนอขยายอุทรณ์แล้ว 3 เดือน 3 ครั้ง)

8. ถ้าคุณอุทรณ์ กว่าเรื่องจะเข้าพิจารณาที่ศาลอุทรณ์อีกครั้ง ก็ใช้เวลาราวๆ 6-12 เดือน

9. แต่ถ้าคุณไม่อุทรณ์ หลังจากได้รับคำพิพากษาจากศาลแล้ว คุรจะต้องเจรจากับเจ้าหนี้ ว่าจะผ่อนจ่ายอย่างไร เพราะถ้าคุณไม่เจรจาและไม่จ่าย โจทย์จะเอาคำสั่งศาลมายึดทรัยพ์ หรือหักเงินเดือนคุณ (แล้วแต่โจทย์จะทำอย่างไร) แต่ทางที่ดี คุรเจรจาให้เค้าหักเงินเดือนจะดีที่สุดครับ

กระบวนการมันจะเป้นแบบนี้ครับ แต่ช่วงระหว่างดำเนินการทั้งหมด จนถึงวันยอมให้หักเงินเดือน หรือยึดทรัพย์ คุณเจรจา h/c กับเจ้าหนี้ได้ตลอดครับ

ทั้งหมดคือ ประสบการณ์ตรงของผมเองนะครับ และเชื่อถือได้ เพราะผมก็เดินตามนี้ทั้งหมดครับ

สงสัยตรงไหน ให้ไปคุยกับคุณอาประพัฒน์ ที่สวนลุมทุกบ่ายวันอาทิตยืได้เลยครับ เอาหมายศาลไปให้แกดู แล้วทำความเข้าใจกับขั้นตอนต่างๆ จากแกให้ละเอียด เรื่องทุกเรื่อง คุณต้องเข้าใจกระบวนการก่อน คุณจะได้มีหลักยึดในการตัดสินใจอย่างถูกต้องครับ

ขอบคุณ สำหรับรายละเอียดที่อธิบายให้ฟังนะค่ะ เป็นประโยชน์มากค่ะ ถ้ามีจุดไหนที่สงสัยก็จะรบกวนถามคุณ maieak1 นะค่ะ

อาทิตย์นี้คุณอาประพัฒน์ยังไปที่สวนลุมอยู่รึป่าวครับ
อยากเอาหมายศาลไปปรึกษา
ศาลนัดวันที่21 นี้ครับ

ยิดดีด้วยค่ะ

คุณอาประพัฒน์ไปสวนลุมทุกบ่ายวันอาทิตย์ครับ เข้าทางประตูพระบรมรูป อยู่ศาลาที่พักหลังแรกซ้ายมือครับ

คุณอาประพัฒน์ไปสวนลุมทุกบ่ายวันอาทิตย์ครับ เข้าทางประตูพระบรมรูป อยู่ศาลาที่พักหลังแรกซ้ายมือครับ

ความคืบหน้าล่าสุด ตอนนี้ TMB ที่ศาลยกฟ้อง ส่งหมายอุทร มาให้แล้วครับ และคาดว่า KTC จะส่งตามมาภายในอาทิตย์นี้ ครับ

ขอบคุณมากครับ เป็นกระทู้ที่เยี่ยมมากสำหรับแนวทางการต่อสู้ของผู้ที่ใช้บัตรมาเป็นเวลานาน จน ดอกเบี้ยที่จ่ายไปเกิน เกินกว่าเงินที่เค้าเรียกเก็บ

ผมไปหาคุณอา มาแล้ว ผมจะสู้แบบนี้เหมือนกันครับ

ได้อ่านความเห็นของคุณ naieak1 และคุณ rexsuwit ในการเอาเรื่องข้อต่อสู้เรื่องดอกเบี้ยเกินจริงจากเจ้าหนี้(บัตร) เกินจริงของคุณทั้งสองแล้ว ผมก็ศึกษาจากชมรมเช่นกัน
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=1897&Itemid=64
และคิดว่าจะใช้วิธีนี้ แต่พออ่านกระทู้บางท่านก็บอกว่ามันใช้ไม่ได้ แต่บางคนใช้ได้อยู่ศาลเป็นผู้พิจารณา มันเป็นเรื่องเวรกรรมของแต่ละคนหรือจังหวะความซวยของแต่ละคนหรือเปล่า หรือที่จริงแล้วคนที่ศาลไม่พิจารณานั้นเขียนคำต่อสู้ไม่ถูก ไม่เป็น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณnaieak1 ก็น่าจะแชร์คำให้การให้พวกเราชาวชมรมได้ดูบ้าง(ถ้ามันเป็นความลับส่งกันทาง Mail ก็ได้)

ทำไมเงียบจังเลยครับผมว่ามีคนรอฟังคุณอยู่นะ สำหรับคนที่รอผมมีบทความที่ไปเจอมาให้ลองอ่านพลางๆก่อนครับ
saving.egat.co.th/news/member-news/1049/1049-11.pdf