มาแล้วค่ะมาเล่าสู่กันฟังแล้ว
เมื่อวันศุกร์ที่ 23 เป็นวันแรกที่ขึ้นศาลไคฟงคดีหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อ ศาลนัดเจรจาไกล่เกลี่ยพร้อมพิพากษาในวันเดียวกันเวลา 8.30 ตื่นแต่เช้ามาถึงศาลตอน 6.30 ซึ่งเช้ามากยามหน้ายังง่วงอยู่เลย แต่พอสอบถามกับพี่ยามว่าเรามาคดีนี้ๆครั้งแรกต้องทำไงบ้าง พี่ยามก็พาไปดูไปเช็คห้องบัลลังค์เมฆ แล้วก็บอกว่าไปนั่งรอห้องอาหารก่อนได้เพราะว่าเค้ามากัน 8 โมง พี่ยามก็พาเดินไปห้องอาหารเสร็จสับ
เวลา 7 โมงเช้าคนเริ่มทยอยมากินข้าวในห้องอาหาร ทนงทนายเต็มไปหมดนั่งแล้วรู้สึกขี้หดตดหายมากๆพอตอน 8 โมงขึ้นไปรอหน้าห้องบัลลังค์เมฆ
เวลา 8.30 ทนายซิตี้แคร้งกับเจ้าหน้าที่บัลลังค์เมฆมาถึงเดินเข้าไปในห้องก็เลยเข้าตาม ทนายก็เลยเดินมาคุยถึงรายละเอียดว่ายอดหนี้ 97000 แบงค์ให้ผ่อนเดือนละ 8000 โดยไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่ม หรือเดือนละ 3000 ปลอดดอกเบี้ย 1 ปี ณ ขณะนั้นคิดเสมอว่าต้องทำตามข้อแนะนำของชมรมคือพูดให้น้อย คิดให้หนัก เลยตอบไปว่ายังไม่ไหวค่ะเพราะค่าใช้จ่ายสูง ทนายก็ดีนะไม่ใช่สายโหดไม่เซ้าซี้ แต่ก็แอบมีพูดขู่เบาๆว่าถ้าให้พิพากษาจะมีข้อเสียกับเรามากกว่า แล้วก็บอกว่าถ้างั้นกลับบ้านได้เลยนะครับหรือจะอยู่รอฟังคำพิพากษา ถ้าอยู่รอถือว่าเราทราบคำตัดสินแล้วมีผลทันที แต่ถ้ากลับไปก่อนก็ยืดระยะเวลาได้ 2 เดือนกว่าที่คำตัดสินจะส่งไปตามที่อยู่ในทะเบียนบ้าน
ด้วยความที่ศึกษามาบ้างเลยบอกขออยู่รอฟังดีกว่าค่ะ เจ้าหน้าที่บัลลังค์เมฆก็บอก ถ้าอยู่รอหรือให้ท่านเปาตัดสินก็ทำได้แค่ลดดอกเบี้ย คิดในใจอ้าวก็ที่มาก็เพื่อให้ลดเนี่ย ทำยอมกับแบงค์ยอดไม่ลดซักบาท แต่รอพิพากดอกเบี้ยอาจลด ได้แต่คิดในใจแล้วจะให้ยอมทำไม -*- ยอดที่ต้องผ่อนพอๆกับอายัดเงินเดือน ถ้ากลับหรือยอมไปก็ไม่ใช่แล้ว.....
หลังจากที่คุยไกล่เกลี่ยกับทนายของทางซิตี้แคร้งแล้ว เรายืนยันกลับไปว่ายังไงก็จะขออยู่ฟังคำตัดสินท่านเปา เพราะน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเรา ทางทนายเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็มีการกำชับว่าหากเค้าถามก็ให้ตอบไปว่า 3000 บาท
เสร็จปุ๊ปในระหว่างที่เราคุยจบแล้วก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา มาถึงก็คุยกับทนายคนเดียวกันกับเราโดยทันที เราก็พยายามแอบเงี่ยหูฟังคุยไรกัน ทนายคนนั้นยื่นข้อเสนอให้ผู้ชายคนนั้นผ่อนเดือนละ 1 หมื่นบาทเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ไม่แน่ใจ แต่แว่วๆว่ายอดรวมมันประมาณแสนกว่าบาท ผู้ชายคนนั้นก็ตอบตกลงกับทนายว่าโอเคเค้าไหว ทนายก็ออกไปโทรศัพท์แล้วก็นำเอกสารมาให้เซนต์ ไอ้ในใจเราคิดนะว่าเฮ้ยยยยย อย่าพึ่งเซนต์ อยากจะเข้าไปพูดคุยกับเค้ามากแต่ก็อย่าดีกว่าเพราะตอนนั้นเราเองยังไม่รู้แน่ชัดว่าข้อมูลต่างๆที่ศึกษามาจากชมรมหนี้นั้นถูกต้องหรือไม่
นั่งรอซักพักเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงก็มาเรียกเราไปคุยด้านนอกเรื่องของคดีความต่างๆ ทีนี้แยกออกจากกันนะ เจ้าหน้าที่ศาลไคฟง กับเจ้าหน้าที่บัลลังค์เมฆทำงานคนละส่วนไม่เหมือนกัน คนที่จะให้ข้อมูลรายละเอียดคดีกับเราได้ดีที่สุดคือคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ศาลไคฟง (ไม่รู้นะว่าบางทีเค้าอาจจะสลับตำแหน่งกันรึเปล่าแต่คิดว่าไม่น่าจะ)
เจ้าหน้าที่ศาลไคฟงก็ทำการสอบถามว่าทางนั้นให้เราผ่อนเท่าไหร่ เลยบอกไปว่าตอนแรกเค้าเสนอมาให้เดือนละ 8000 โดยไม่มีดอกเบี้ยเพิ่มเราไม่ไหวภาระต่อเดือนที่ต้องรับผิดชอบเยอะมากๆ เค้าก็เลยยื่นข้อเสนอมาให้ 3000 ซึ่งจะไม่มีดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่เราก็ยังไม่ไหวกับยอดนี้อยู่ดี หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ศาลไคฟง เค้าก็ชี้แจงถึงทางออกต่างๆรวมไปถึงข้อดีข้อเสียของทางออกนั้นๆ เราก็สอบถามทางเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงไปว่า คือเป็นการขึ้นศาลไคฟงครั้งแรกเราต้องทำอะไรบ้าง เราต้องว่าความด้วยรึเปล่า
เจ้าหน้าที่ศาลไคฟง ก็บอกว่าไม่ต้องแค่ฟังท่านเปาตัดสินเท่านั้นพอ เจ้าหน้าศาลไคฟงก็บอกว่านี่ตัวเค้าเองก็งงๆนะว่าผู้ชายอีกคนเค้าจ่ายต่อเดือนไหวได้ยังไง ทนายของซิตี้แคร้งมาคุยกับเค้าให้เค้าจ่ายเดือนละหมื่นยอดเต็มมันแสนหก........
จากนั้นเราก็สอบถามกับเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงไปตรงๆเลยว่า คือตอนนี้เรามีหนี้อยู่หลายใบมากๆ ซึ่งมีแบงค์ยอดมนุษย์แบงค์นึงฟ้องไปแล้ว แล้วก็ได้เป็นใบหมายศาลแค่กระดาษแผ่นเดียว ที่เขียนสรุปว่ายอดหนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ที่ต้อง พร้อมทั้งชำระค่าฤชาทนายอีก 3000 ไม่ทราบว่าอันนี้คืออะไรคะ เพราะหมายศาลที่เป็นปึกๆไม่ได้รับเผอิญว่าที่อยู่ตามทะเบียนบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่ตอนนั้นก็เลยไม่ได้มาขึ้นศาลด้วย เจ้าหน้าที่ศาลไคฟงก็เลยบอกว่า อ๋อ...อันนั้นเป็นคำตัดสินของศาลไคฟง เลยสอบถามต่อว่าอย่างงี้คือคำตัดสินมีออกมาตั้งแต่ประมาณเดือน มีนาคม แล้วเงินเดือนที่เราได้รับก็ยังเป็นปกติไม่มีการอายัดใดๆเกิดขึ้น แล้วอย่างงี้ต้องทำอย่างไรต่อคะ ทางเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงก็เลยถามว่ามีทางแบงค์ติดต่อมารึยัง เราก็บอกว่ายังไม่มี เจ้าหน้าที่ศาลไคฟงเลยชี้แจงว่าเมื่อศาลไคฟงตัดสินแล้วว่ายอดหนี้ทั้งหมดที่เราต้องชำระเท่าไหร่ หลังจากนั้นเราจะต้องทำการติดต่อกันเองระหว่างแบงค์ที่ฟ้องเราว่าจะมีการชำระหนี้อย่างไรทางไหนบ้าง ซึ่งในการส่งเรื่องเข้ากรมบังคับคดีเพื่ออายัดเงินเดือนนั้นจะช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับว่าเราตกลงกับทางแบงค์ได้หรือไม่แล้วเค้าจะรอเราชำระยอดหนี้ตามที่ตกลงไหวรึเปล่า แต่อย่างซิตี้แคร้งนี่เค้าจะทำเรื่องโคตรไว
เราก็เลยสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงต่อไปการอายัดเงินเดือนนี่คืออายัดเท่าไหร่ยังไงคะ เจ้าหน้าที่ศาลไคฟงก็บอกว่า 30% ของเงินเดือนที่ได้รับ ซึ่งหนึ่งหมื่นบาทแรกนี่ยกเว้นไปเลย ก็เลยถามต่อว่าอย่างถ้าเกิดว่าเราได้เงินเดือน 2 หมื่นการถูกอายัดเงินเดือน 30% นี่คือจะคิดจากยอดเงินเดือนเต็ม 2 หมื่น คือ 6000 หรือว่าหักออกก่อนหนึ่งหมื่นบาทแล้วค่อยมาคิด 30% คือ 3000 บาทคะ เจ้าหน้าที่ศาลไคฟงก็บอกว่า หักออกหนึ่งหมื่นบาทครับก็เท่ากับว่าเราจะโดนอายัด 3000 บาทถ้าเราเงินเดือน 2 หมื่น (ซึ่งข้อมูลตรงนี้ที่คุยกับทางเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงมามันไม่ตรงกับที่หาๆอ่านจากในเนตมาเลย ก็เลยยังไม่แน่ใจว่ายังไงกันแน่ หรือว่าเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงอาจจะบอกผิด หรือว่าจะเป็นร่างกฏหมายฉบับใหม่ก็ไม่รู้)
ทีนี้เราก็คุยกับทางเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงไปว่าเออเราคงต้องเลือดทางให้อายัดเงินเดือนแหละเพราะเรายังมีเจ้าหนี้อีกหลายรายมากๆและเราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะฟ้องตอนไหน ทางเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงก็ชี้แจงให้ฟังถึงข้อเสียคือเค้าจะทำการส่งเรื่องไปที่ทำงาน เราจะรับได้มั้ย เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนแบงค์ฟ้องศาลเค้าจะกลัวเรื่องพวกนี้ถึงบริษัทที่ทำ เราก็บอกไปว่าไม่เป็นไรค่ะไม่กลัวตรงนี้ แล้วเค้าก็ถามว่ามีทรัพย์สินอะไรที่เป็นชื่อตัวเองบ้างรึเปล่า เราก็บอกไม่มีเลยค่ะมีแต่เงินเดือนล้วนๆ เค้าก็บอกว่าโอเค เพราะถ้าเกิดว่ามีทรัพย์สินนี่เค้าสามารถตามไปอายัดทรัพย์ได้ อย่างบางคนที่เค้าทำอาชีพขายของอย่างเงี๊ยะ เค้าไม่มีเงินเดือน ไม่มีทรัพย์สิน บางคนเค้าก็มาขึ้นศาลแต่แบงค์ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีทรัพย์สินให้ยึด เค้าก็ลอยตัวแล้วและแบงค์เองก็มองว่าเป็นหนี้ที่เสีย กรณีแบบนี้แม้แต่ 500 พันนึงแบงค์ก็เอาดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
จากนั้นเจ้าหน้าที่ศาลไคฟงก็หยิบเอกสารมาให้เราเซนต์ เนื้อหาในเอกสารนั้นก็ประมาณว่าเรารับรู้แล้วนะ เจ้าหน้าที่ศาลไคฟงชี้แจงรายละเอียดให้เราฟังแล้วอะไรประมาณนี้ จำได้ไม่แม่นเหมือนกันเพราะตอนนั้นก็ยังเบลอๆอยู่แล้วก็ตื่นเต้นด้วย
พอเข้ามานั่งในห้องบัลลังค์เมฆซักแปปทนงทนายก็เริ่มหยิบเสื้อคลุม (ที่คล้ายชุดครุยไม่รู้เรียกว่าไร) มาใส่ แล้วก็นั่งนิ่งๆเงียบๆ ซักพักเจ้าหน้าที่บังลังค์เมฆก็ถามว่าพร้อมกันแล้วนะคะท่านเปาจะลงมาแล้ว ทุกคนก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วเจ้าหน้าที่บังลังค์เมฆก็เหมือนพิมพ์ก๊อกแก๊กๆเลยเดาว่าน่าจะแจ้งท่านเปาผ่านทางคอมฯ หลังจากนั้นซักพักท่านเปาก็เดินออกมาจากประตูด้านหลังที่นั่งของท่านเปาเอง เจ้าหน้าที่บังลังค์เมฆก็สั่งให้ทุกคนยืนเคารพท่านเปา
ตอนนั้นคือใจโคตรเต้นเลยจะเป็นยังไงบ้างว้าาาา กลัวและกังวลไปหมด ได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าเรียกเป็นคนแรกเลยเห๊อะะะะะ ปรากฏแจ็คพอตแตก!!! โดนเรียกเป็นคนแรกเลยฉี่แทบราด มือเย็นเฉียบ ไอ้ตอนแรกเราก็จินตนาการไปว่าต้องไปยืนในคอกที่มีไมค์แล้วต้องสาบานตนด้วย ปรากฏว่าไม่ใช่ ทนายซิตี้แคร้งมาเชิญไปยืนข้างๆด้านหน้า ฟังคำตัดสินของท่านเปา ท่านเปากล่าวว่า เดี๋ยวท่านเปาจะพิจารณาลดดอกเบี้ยให้นะ จบ....... ห๊าอะไรนะแค่นี้หรอก จากนั้นก็มีเอกสารมาให้เซนต์ๆเสร็จกลับบ้านได้
คือจะว่าโล่งก็โล่ง แต่ที่เตรียมใจมา 1 ปี กับนอนร้องห่มร้องไห้มา 3 วันก่อนขึ้นศาลไคฟงคือ แค่นี้เองเหรอ ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีเลยด้วยซ้ำ.......... แล้วก็เดินออกจากห้องบังลังค์เมฆมานั่งพักกินน้ำกินท่าได้ซักแปป อุเหม่เหมือนจะรู้ยังไงก็ไม่รู้ ทนายของแบงค์ยอดมนุษย์ที่ได้ส่งฟ้องและได้รับคำตัดสินไปแล้วโทรมาพอดิบพอดี ............
เดี๋ยวจะมาเล่ารายละเอียดส่วนนี้ให้ฟังต่อนะคะ