- จำนวนโพสต์: 5911
- ขอบคุณที่รับ: 2590
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
สู้ๆๆนะคะ เป็นกำลังใจให้คะMMME เขียน: สวัสดีค่ะ อยากรบกวนขอคำแนะนำจากทุกท่าน
เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ? และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่" ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
MMME เขียน: สวัสดีค่ะ อยากรบกวนขอคำแนะนำจากทุกท่าน
เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ? และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่" ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
Werachon เขียน:
MMME เขียน: สวัสดีค่ะ อยากรบกวนขอคำแนะนำจากทุกท่าน
เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ? และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่" ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง
อันนี้ประสบการณ์ของคุณ kaipenthai ครับ
เล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังคร่าวๆๆดังนี้ครับ
1. หลังได้รับคำพิพากษา (เหมือนของคุณ candyj) ก็ไม่ได้ติดต่อ ทนายสำนักกฎหมาย เลยเกือบ 2 เดือน
2. พอผ่าน 2 เดือนเต็มลองฟอร์มโทรไปเช็คว่า เรื่องไปถึงไหนแล้ว......หมายถึงว่า โดนส่งฟ้องบังคับคดีหรือยัง????
3. แล้วก็พยายามถ่วงเวลา เจรจาหนี้อีก 2 เดือน เช่น ทำใบผ่อนต่อเดือนแบบน้อยๆๆเข้าไปต่อรองกับ ทนายเจ้าหนี้ ส่งกลับไป กลับมา 3 รอบ ประมาณนี้
4. คำนวณคร่าวๆๆ เริ่มส่งผ่อนจ่าย หลังได้รับคำพิพากษา ก็เดือนที่ 6-7 ไปแล้วน่ะครับ
5. ช่วง 3 เดือนแรกที่ส่งไปก็ส่งไปตามที่ผมบอกไว้เช่น 3,000 บาท/เดือน (ยอดหนี้ 160,000 บาท) ก็ส่งครบไปก่อน
6. หลังจากนั้นก็ขอต่อรองเหลือ 2,000 โดยอ้างว่า ยังมีหนี้อีกหลายตัว ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินยอม แล้วก้ผ่อนมาเรื่อยๆๆอีกประมาณ 6 เดือน
7. แล้วก็ขอหยุดชำระ 2 เดือน โดยผมบอกว่าจะขอเก็บเงินก้อนไป HC หนี้บัตรอีกราย เพราะได้สวนลด 60% โดยบอกว่าจะส่งผลดีต่อทั้ง คุณ และ ผม ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินดี...กะว่าเดือนหน้าจะกลับมาจ่ายขั้นบันไดอีกรอบ สัก 1,000-1,500 บาท พอและครับ
8. ระหว่างนี้ก็เก็บเงินสดไปเรื่อยๆ กะว่าเมื่อไหร่ที่ได้สวนลด ที่พอใจกับเงินที่มีอยู่ก็จะ hc ไปเลยครับ
9. ที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากโดนบังคับคดี อายัดเงินเดือน 30% เพราะมันจะโดนหักมาก จึงไม่เหมาะกับ case ของผม
10. สำหรับค่าทนาย ก็ไม่ได้จ่ายอะไรทั้งสิ้น อย่าไปเครียดกับยอดหนี้ ตัวเลขเลย เพราะสุดท้ายกับได้ hc แล้ว ตัวเลขหนี้เหล่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องไปสนใจนั่นเอง
โชคดีครับ
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
MMME เขียน: เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ
MMME เขียน: ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ?
หากคุณหยุดจ่าย เจ้าหนี้ก็จะยื่นเรื่องไปที่กรมบังคับคดี เพื่อให้ทำการอายัดเงินเดือน หรือ ยึดทรัพย์สินที่มีชื่อของคุณเป็นเจ้าของต่อไป...ตามที่เขียนกำหนดเอาไว้ในสัญญายอมความของศาลMMME เขียน: และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ
ทำไม่ได้แล้วครับ เพราะสัญญายอมความที่คุณไปเซ็นต์ไว้ต่อหน้าศาล นั่นเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงกันจะทำตามสัญญา โดยมีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาถึง 2ท่าน เซ็นต์กำกับพิพากษาเอาไว้อยู่ในด้านล่างสุดของสัญญาดังกล่าวMMME เขียน: หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม
ไม่มีการฟ้องใหม่อีกแล้วครับ เพราะสัญญายอมความฉบับดังกล่าว ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดของคดีความไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ...ไม่มีทางไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้วMMME เขียน: เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่ " ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง
ถึงคุณจะโทรไปติดต่อกับใครก็ไม่มีประโยชน์แล้วครับ เพราะสัญญาฉบับดังกล่าว ไม่สามารถแก้ไขให้เป็นอื่นได้อีกแล้ว ผมถึงได้เขียนเตือนเอาไว้อยู่ในกระทู้นี้ไงครับ เกี่ยวกับเรื่องแนวทางที่ 2.MMME เขียน: ขอสอบถามเพิ่มเติมว่าเราต้องติดต่อไปหาทนายคนที่เราเคยเจอที่ศาล หรือให้โทรคุยกับทางเจ้าหนี้เราโดยตรงคะ เพราะเราไม่สามารถติดต่อทนายโจทย์ได้เลยค่ะ เบอร์ที่เขียนไว้ก็ติดต่อไม่ได้
วิธีการนี้ เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น...หรือ เหลือเจ้าหนี้แค่รายนี้“เป็นรายสุดท้าย”
เพราะถ้าหากลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายราย แล้วดันไปเซ็นต์สัญญา"ประนีประนอมยอมความ"ในชั้นศาล กับเจ้าหนี้หมดทุกราย แล้วจะมีปัญญาไปผ่อนจ่ายตามสัญญาหมดทุกฉบับไหวไหม?...มันก็เข้าอีหรอบเดิมเหมือนกับตอนที่ต้องผ่อนจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ทุกราย ก่อนที่จะถูกฟ้องศาลนั่นแหละ...จริงไหม?
ดังนั้น ตัวของลูกหนี้เอง จะต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่า หากเซ็นต์ชื่อลงในสัญญาแล้ว จะต้องปฎิบัติให้ได้ตามข้อตกลงในสัญญา เพราะในสัญญาฉบับนี้ มีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาลงนามเป็นพยานด้วย หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายตามข้อตกลงได้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่เซ็นต์ไปนี้ ก็จะถือว่าเป็น“โมฆะ” และจะถูกย้อนให้กลับไปใช้ตัวเลขตามมูลหนี้ทั้งหมด ที่ยังคงเหลือค้างอยู่ตามในสัญญาทันที
*** คิดง่ายๆก็คือการเอา"ตัวเลขสูงสุด"ในหมายฟ้อง ลบด้วยจำนวนเงินต้นที่ได้เคยผ่อนไปบ้างแล้วตามสัญญาฉบับนี้(ถ้ามี) แล้วที่เหลือก็คือเงินหนี้ที่จะต้องจ่ายต่ออีก บวกด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี(ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา) โดยดอกเบี้ยจำนวนนี้ จะเดินต่อไปเรื่อยๆไม่มีหยุด จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะชำระด้วยวิธีการอย่างใดก็ตาม ***
อีกทั้ง ทางฝ่ายโจทก์ยังสามารถยื่นเรื่องตรงไปที่“กรมบังคับคดี”ได้เลย โดยไม่ต้องฟ้องซ้ำอีกแล้ว และจำเลยก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ด้วย เพราะถือว่าจำเลยได้ทำสัญญาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นไปแล้ว ซึ่งสัญญาฉบับนี้มีความหมายเทียบเท่ากับว่า โจทก์และจำเลยขอยินยันให้ศาลพิพากษาไปตามสัญญาการผ่อนชำระฉบับนี้ได้เลย โดยมีลายเซ็นต์ของทุกฝ่ายลงนามยืนยันไว้เป็นหลักฐาน
ดังนั้น...ถ้าหากลูกหนี้ทำการประเมินตัวเองแล้ว คาดว่าในภายภาคหน้าอาจจ่ายชำระตามข้อตกลงในสัญญาไม่ไหว ก็อย่าไปตกลงทำสัญญาดีกว่าครับ หันมาใช้วิธีการตามในแนวทางที่ 1. หรือแนวทางที่ 3. จะดีกว่า
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
Werachon เขียน: อันนี้ประสบการณ์ของคุณ kaipenthai ครับ
เล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังคร่าวๆๆดังนี้ครับ
1. หลังได้รับคำพิพากษา (เหมือนของคุณ candyj) ก็ไม่ได้ติดต่อ ทนายสำนักกฎหมาย เลยเกือบ 2 เดือน
2. พอผ่าน 2 เดือนเต็มลองฟอร์มโทรไปเช็คว่า เรื่องไปถึงไหนแล้ว......หมายถึงว่า โดนส่งฟ้องบังคับคดีหรือยัง????
3. แล้วก็พยายามถ่วงเวลา เจรจาหนี้อีก 2 เดือน เช่น ทำใบผ่อนต่อเดือนแบบน้อยๆๆเข้าไปต่อรองกับ ทนายเจ้าหนี้ ส่งกลับไป กลับมา 3 รอบ ประมาณนี้
4. คำนวณคร่าวๆๆ เริ่มส่งผ่อนจ่าย หลังได้รับคำพิพากษา ก็เดือนที่ 6-7 ไปแล้วน่ะครับ
5. ช่วง 3 เดือนแรกที่ส่งไปก็ส่งไปตามที่ผมบอกไว้เช่น 3,000 บาท/เดือน (ยอดหนี้ 160,000 บาท) ก็ส่งครบไปก่อน
6. หลังจากนั้นก็ขอต่อรองเหลือ 2,000 โดยอ้างว่า ยังมีหนี้อีกหลายตัว ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินยอม แล้วก้ผ่อนมาเรื่อยๆๆอีกประมาณ 6 เดือน
7. แล้วก็ขอหยุดชำระ 2 เดือน โดยผมบอกว่าจะขอเก็บเงินก้อนไป HC หนี้บัตรอีกราย เพราะได้สวนลด 60% โดยบอกว่าจะส่งผลดีต่อทั้ง คุณ และ ผม ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินดี...กะว่าเดือนหน้าจะกลับมาจ่ายขั้นบันไดอีกรอบ สัก 1,000-1,500 บาท พอและครับ
8. ระหว่างนี้ก็เก็บเงินสดไปเรื่อยๆ กะว่าเมื่อไหร่ที่ได้สวนลด ที่พอใจกับเงินที่มีอยู่ก็จะ hc ไปเลยครับ
9. ที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากโดนบังคับคดี อายัดเงินเดือน 30% เพราะมันจะโดนหักมาก จึงไม่เหมาะกับ case ของผม
10. สำหรับค่าทนาย ก็ไม่ได้จ่ายอะไรทั้งสิ้น อย่าไปเครียดกับยอดหนี้ ตัวเลขเลย เพราะสุดท้ายกับได้ hc แล้ว ตัวเลขหนี้เหล่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องไปสนใจนั่นเอง
โชคดีครับ
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
นกกระจอกเทศ เขียน:
MMME เขียน: เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ
ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=9240&Itemid=64
MMME เขียน: ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ?
ปัญหา คือ เป็นหนี้บัตรเครดิต ได้ประนีประนอมที่ศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=44003&Itemid=64#80210
หากคุณหยุดจ่าย เจ้าหนี้ก็จะยื่นเรื่องไปที่กรมบังคับคดี เพื่อให้ทำการอายัดเงินเดือน หรือ ยึดทรัพย์สินที่มีชื่อของคุณเป็นเจ้าของต่อไป...ตามที่เขียนกำหนดเอาไว้ในสัญญายอมความของศาลMMME เขียน: และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ
ไขข้อข้องใจ “การอายัดเงินเดือน”
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=28147&Itemid=64
กฏเกณฑ์ การอายัด(ยึด)ทรัพย์สิน ภายในบ้านของจำเลย(ลูกหนี้)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=2194&Itemid=64
ทำไม่ได้แล้วครับ เพราะสัญญายอมความที่คุณไปเซ็นต์ไว้ต่อหน้าศาล นั่นเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงกันจะทำตามสัญญา โดยมีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาถึง 2ท่าน เซ็นต์กำกับพิพากษาเอาไว้อยู่ในด้านล่างสุดของสัญญาดังกล่าวMMME เขียน: หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม
ไม่มีการฟ้องใหม่อีกแล้วครับ เพราะสัญญายอมความฉบับดังกล่าว ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดของคดีความไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ...ไม่มีทางไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้วMMME เขียน: เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่ " ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง
ถึงคุณจะโทรไปติดต่อกับใครก็ไม่มีประโยชน์แล้วครับ เพราะสัญญาฉบับดังกล่าว ไม่สามารถแก้ไขให้เป็นอื่นได้อีกแล้ว ผมถึงได้เขียนเตือนเอาไว้อยู่ในกระทู้นี้ไงครับ เกี่ยวกับเรื่องแนวทางที่ 2.MMME เขียน: ขอสอบถามเพิ่มเติมว่าเราต้องติดต่อไปหาทนายคนที่เราเคยเจอที่ศาล หรือให้โทรคุยกับทางเจ้าหนี้เราโดยตรงคะ เพราะเราไม่สามารถติดต่อทนายโจทย์ได้เลยค่ะ เบอร์ที่เขียนไว้ก็ติดต่อไม่ได้
วิธีการนี้ เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น...หรือ เหลือเจ้าหนี้แค่รายนี้“เป็นรายสุดท้าย”
เพราะถ้าหากลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายราย แล้วดันไปเซ็นต์สัญญา"ประนีประนอมยอมความ"ในชั้นศาล กับเจ้าหนี้หมดทุกราย แล้วจะมีปัญญาไปผ่อนจ่ายตามสัญญาหมดทุกฉบับไหวไหม?...มันก็เข้าอีหรอบเดิมเหมือนกับตอนที่ต้องผ่อนจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ทุกราย ก่อนที่จะถูกฟ้องศาลนั่นแหละ...จริงไหม?
ดังนั้น ตัวของลูกหนี้เอง จะต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่า หากเซ็นต์ชื่อลงในสัญญาแล้ว จะต้องปฎิบัติให้ได้ตามข้อตกลงในสัญญา เพราะในสัญญาฉบับนี้ มีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาลงนามเป็นพยานด้วย หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายตามข้อตกลงได้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่เซ็นต์ไปนี้ ก็จะถือว่าเป็น“โมฆะ” และจะถูกย้อนให้กลับไปใช้ตัวเลขตามมูลหนี้ทั้งหมด ที่ยังคงเหลือค้างอยู่ตามในสัญญาทันที
*** คิดง่ายๆก็คือการเอา"ตัวเลขสูงสุด"ในหมายฟ้อง ลบด้วยจำนวนเงินต้นที่ได้เคยผ่อนไปบ้างแล้วตามสัญญาฉบับนี้(ถ้ามี) แล้วที่เหลือก็คือเงินหนี้ที่จะต้องจ่ายต่ออีก บวกด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี(ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา) โดยดอกเบี้ยจำนวนนี้ จะเดินต่อไปเรื่อยๆไม่มีหยุด จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะชำระด้วยวิธีการอย่างใดก็ตาม ***
อีกทั้ง ทางฝ่ายโจทก์ยังสามารถยื่นเรื่องตรงไปที่“กรมบังคับคดี”ได้เลย โดยไม่ต้องฟ้องซ้ำอีกแล้ว และจำเลยก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ด้วย เพราะถือว่าจำเลยได้ทำสัญญาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นไปแล้ว ซึ่งสัญญาฉบับนี้มีความหมายเทียบเท่ากับว่า โจทก์และจำเลยขอยินยันให้ศาลพิพากษาไปตามสัญญาการผ่อนชำระฉบับนี้ได้เลย โดยมีลายเซ็นต์ของทุกฝ่ายลงนามยืนยันไว้เป็นหลักฐาน
ดังนั้น...ถ้าหากลูกหนี้ทำการประเมินตัวเองแล้ว คาดว่าในภายภาคหน้าอาจจ่ายชำระตามข้อตกลงในสัญญาไม่ไหว ก็อย่าไปตกลงทำสัญญาดีกว่าครับ หันมาใช้วิธีการตามในแนวทางที่ 1. หรือแนวทางที่ 3. จะดีกว่า
อ้างอิงข้อมูลจาก
ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=9240&Itemid=64
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
MMME เขียน: การปล่อยให้ศาลพิพากษาต้องทำอย่างไรหรอคะ คือตกลงกับโจทย์ไม่ได้ แล้วให้ศาลพิพากษาในวันนั้นเลยหรือเปล่าคะ
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา