Citibank ++ dinner

รบกวนสอบถามเพื่อนๆ พี่ในห้องนี้คะ คือเรื่องมีอยู่ว่า คุณย่าของน้องกระทิงได้มีการกดสินเชื่อของ
Citibank และ Diner ยอดใบละ 2 แสนกว่าบาท ซึ่งที่ผ่านมาชำระขั้นต่ำมาแต่โดยดีจนกระทั่งเมื่อ กพ. ที่ผ่านมาได้เสียชีวิตลงคะ ซึ่งเรื่องหนี้สินดังกล่าวไม่มีใครทราบเรื่องเลยเนื่องจากย่าอาศัยอยู่กับคนทำงานบ้าน จนเรื่องผ่านมาคุณย่าทำพินัยกรรมไว้คือยกบ้านให้กระทิงและพี่สาวกระทิง (ผจก.มรดก) คะ ทำเรื่องโอนบ้านเรียบร้อย คราวนี้ถามต่อในส่วนของหนี้บัตรที่ทางเราเพิ่งทราบคะว่าควรทำอย่างไรดี เพราะว่าทาง Citibank เริ่มโทรหาพี่สาวของน้องกระทิงแล้ว เกี่ยวกับเรื่องหนี้ โดยพี่สาวบอกไปว่าไม่ทราบเรื่องคะ แนะนำว่าควรทำอย่างไรต่อดีคะ
ช่วยแนะนำทีค่ะ กับเรื่องบ้านที่ได้รับมรดกมานั้น ทางเจ้าหนี้ทั้ง 2 สามารถมายึดได้หรือไม่คะ แนะนำทีคะ

รีบโทรปรึกษาท่าประธานชมรมนกกระจอกเทศโดยเร็ว ท่านคงจะให้คำแนะนำกับคุณได้ค่ะ

โทรไปที่ไหน เบอร์อะไรคะ คุณพี่ pfs

.
เสริมเพิ่มเติม...เรื่องการฟ้องลูกหนี้ที่เสียชีวิต
(หากลูกหนี้ตาย เจ้าหนี้จะต้องฟ้องร้องอย่างไร?)

อายุความในการฟ้องคดีนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่ทุกคนจะต้องรู้ เพราะหากพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายที่โจทก์มีสิทธิจะฟ้องคดีแล้ว หากนำมูลคดีนั้นไปยื่นฟ้องต่อศาล เมื่อจำเลยยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความฟ้องคดีขึ้นต่อสู้ และตามพยานหลักฐานฟังได้ว่าคดีนั้นขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว ศาลก็จะพิพากษายกฟ้อง เป็นเหตุให้ลูกหนี้หรือทายาทของลูกหนี้หลุดพ้นจากภาระหนี้สินนั้นไปได้

ในกรณีที่ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดอายุความในการฟ้องร้องคดีไว้ ใน มาตรา ๑๗๕๔ วรรค ๓ ว่า

“ภายใต้บังคับแห่ง มาตรา ๑๙๓/๒๗ แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่ง ปี นับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
ถึงอย่างไรก็ดี สิทธิเรียกร้องตามที่ว่ามาในวรรคก่อนนั้น มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย”

ดังนั้นจากตัวบทกฎหมายข้างต้น จึงอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า เมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตายไปแล้ว เจ้าหนี้จะต้องเรียกร้องหรือฟ้องร้องให้ชำระหนี้จากทรัพย์มรดกของลูกหนี้ผู้ตาย ภายในกำหนด ๑ ปี นับแต่วันที่เจ้าหนี้รู้ว่าลูกหนี้ถึงแก่ความตาย ถึงแม้หนี้จะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ตาม มิฉะนั้น คดีจะขาดอายุความฟ้องร้อง

การฟ้องคดีนั้น ถามว่าเมื่อลูกหนี้ตายแล้ว เราจะฟ้องใคร คำตอบก็คือ ต้องฟ้องทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของลูกหนี้ หรือผู้จัดการมรดกของลูกหนี้เป็นจำเลย ส่วนในการรับผิดชอบในหนี้ สินลูกหนี้ต่อเจ้าหนี้ ทายาทหรือผู้จัดการมรดกที่ถูกฟ้องคดี จะต้องรับผิดชอบเพียงแต่ทรัพย์สินในกองมรดกที่ตนมีสิทธิได้รับเท่านั้น

เพื่อให้สมาชิกอ่านเข้าใจยิ่งขึ้น ผมจะขอยกเอาคำพิพากษาฎีกาบางเรื่อง ที่เคยตัดสินคดีเกี่ยวกับเรื่องที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น ให้ท่านได้อ่านกันนะครับ

ฎีกาที่ ๒๐๙๑/๒๕๑๔ เจ้าหนี้มิได้ฟ้องทายาทของลูกหนี้ภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่เจ้าหนี้ทราบถึงการตายของลูกหนี้ หนี้จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๗๕๔ วรรค ๓ ผู้ค้ำประกันย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ ตาม มาตรา ๖๙๔

ฎีกาที่ ๑๓๔๓/๒๕๒๐ หนี้ถึงกำหนดและค้างชำระแล้ว ผู้ค้ำประกันตาย ทายาทต้องรับผิดไม่เกินมรดกที่ตกทอดมา อายุความฟ้องทายาท ๑ ปี ตามมาตรา ๑๗๕๔ นับแต่เจ้าหนี้รู้ว่าผู้ค้ำประกันตาย

ฎีกาที่ ๓๙๙๔/๒๕๔๐ แม้หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่ ลูกหนี้ทำไว้กับโจทก์ ยังไม่ถึงกำหนดชำระ แต่ลูกหนี้ได้ถึงแก่ความตายไปก่อน โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ภายใน ๑ ปี นับแต่โจทก์รู้ถึงความตายของลูกหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๗๕๔ วรรค ๓ เพราะสิทธิเรียกร้องของจทก์ย่อมเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตาย หากรอจนหนี้ถึงกำหนดชำระ อายุความ ๑ ปี อาจจะล่วงพ้นไปแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องทายาทของลูกหนี้ เพื่อบังคับให้ชำระหนี้ได้ แม้หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ

ในทางกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องอายุความฟ้องร้องคดีนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่หากโจทก์นำมูลหนี้ที่ขาดอายุความแล้วมาฟ้องร้อง หากฝ่ายจำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอา"อายุความ"มาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้

ข้อยกเว้นให้เจ้าหนี้ฟ้องเกิน ๑ ปีได้

ดังที่บัญญัติไว้ใน ปปพ. มาตรา ๑๗๕๔ วรรค ๓ “ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๒๗ ” ซึ่งมาตรา ๑๙๓/๒๗ บัญญัติว่า “ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระค่าดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปนั้นไม่ได้” ดังนั้น เจ้าหนี้ตามมาตราดังกล่าว จึงสามารถบังคับชำระหนี้จากทรัพย์ที่จำนอง จำนำ หรือมีสิทธิยึดหน่วง อันเป็นมรดกนั้นได้ แม้ล่วงพ้นอายุความฟ้องคดีมรดกแล้วก็ตาม

อีกกรณีหนึ่งที่เจ้าหนี้ฟ้องเกิน ๑ ปีได้ ก็คือ ในกรณีที่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกไปรับสภาพหนี้ภายในอายุความมรดก จึงทำให้อายุความสะดุดลง โดยระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้น ไม่นับเข้าอยู่ในอายุความ อายุความสะดุดหยุดลงเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น เจ้าหนี้จึงฟ้องบังคับชำระหนี้จากกองมรดกได้ แม้ล่วงพ้นอายุความมรดก

ส่วนคดีที่เจ้ามรดกเป็นเจ้าหนี้ มิได้กำหนดอายุความไว้เป็นพิเศษแต่อย่างใด จึงต้องใช้อายุความเฉพาะแต่เกี่ยวกับมูลหนี้ที่จะฟ้อง ดังนั้นเจ้าหนี้จึงสามารถฟ้องลูกหนี้ได้ แม้เจ้ามรดกตายเกินหนึ่งปีแล้วก็ตาม


อ้างอิงข้อมูลจาก
อายุความในการฟ้องร้อง คดีแพ่ง (หนี้เงิน)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=813&Itemid=64#1298

มาอัพเดทความเคลื่อนไหวคะ เดือนนี้ทาง citibank โทรมาแล้ว นำเสนอส่วนลด 50-70 % แต่มีเงื่อนไขว่าต้องให้พี่สาวของน้องกระทิง แฟ๊กซ์ บัตรประชาชนเข้าไปให้เพื่อรับทราบยอดหนี้คะ
โดยต้องส่งเอกสารเข้าไปภายใน มค 2558 นี้ไม่งั้นส่งเรื่องต่อให้ทนายคะ เคยลองติดต่อไปเผื่อยืนยอมจะบอกยอดหนี้ที่ต้องชำระที่หักส่วนลดแล้ว แต่พนง. ยืนยันท่าเดียวต้องแฟกซ์เอกสารมาให้ก่อน
จึงแจ้งยอดได้ แล้วบอกว่า ให้ขีดคร่อมในสำเนาว่าเพื่อ "ขอทราบข้อมูลและเจรจาแทน" ก็ได้ถ้าหากไม่ไว้วางใจ ส่วนหนี้จะชำระหรือไม่ชำระก็แล้วแต่ทางเรา

รบกวนปรึกษาคะ
1.สมควรแฟ๊กซ์เอกสารไปดีหรือไม่คะ จะไว้ใจในสิ่งที่พนง.พูดได้หรือเปล่าว่าจะชำระหรือไม่ชำระก็ได้
2.สมมติได้ส่วนลดที่ 70% ถือว่าโอเคหรือไม่คะ แล้วยังต่อลองได้อีกหรือไม่ ผ่อนชำระได้ไหม
(พอมีเงินสัก 50000 ที่พร้อมโปะ แต่ไม่แน่ใจจะยอมไหม)

3.กรณีนิ่งเฉยเดือนนี้ไม่ทำอะไร ไม่ทราบว่า ทางธนาคารจะดำเนินการอะไรยังไต่อคะ

ขอความเห็นด้วยคะ ขอบคุณมากๆๆคะ

ผมว่าคุณโทรมาถามดีกว่าครับ จะแนะนำให้

ล่าสุด พี่สาวน้องกระทิงยอมแฟกซ์บัตรประชาชนพร้อมขีดคร่อมว่าขอทราบข้อมูลไม่รับชำระหนี้เข้าไปคะ
ทางแบงค์แจ้งยอด 250,000 นิดๆ ให้ส่วนลด 70% เหลืออยู่ที่ประมาณ 76,000 บาท
พี่สาวต่อรองว่าไม่มีเงินขนาดนั้นและไม่ใช่หนี้ที่ก่อ อยากให้แบงค์เข้าใจด้วยเพราะพี่สาวน้องก็เป็นข้าราชการ
แล้วไหนจะผ่อนรถและหนี้บัตรอีก อยากปิดที่ 3-4 หมื่นเท่านั้น
ทาง citibank ก็ไม่ยอมเต็มที่ลดให้ 70,000 ซึ่งทางเราก็ไม่ไหวคะ ทางเจ้าหน้าทีเริ่มเสียงไม่พอใจ
เพราะแจ้งว่าขอ supervisor ให้หลายทีแล้ว พี่สาวน้องจึงบอกว่าลองดูแล้วกันไม่งั้นก็ฟ้องมา
ทางเรายินดีจะจ่ายยอด ตามที่บอกมากกว่านั้นก็ไม่ไหว อยากให้แบงค์เข้าใจด้วยคะ
ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ส่วนลดมากแล้วก็ต้องให้แบงค์รับได้ด้วย แต่กลับกันป่าวคะ ว่า แบงค์ไม่ได้ไรเลย
แถมพูดจาไม่ดี เท่าที่ฟังยังรู้สึกว่าเค้ายังไม่ได้เต็มที่ในการขอส่วนลดให้เราเลย เพราะใจน้องกระทิงเชื่อว่าน่าจะได้ส่วนลดกว่านี้

น้องกระทิง ทำอย่างนี้ พี่ๆ เพื่อนๆว่าอย่างไรบ้างคะ ขอความเห็นหน่อยจ้ะ