น้องใหม่ รายงานตัวคะ

เป็นหนี้ แต่อยากจ่าย มีลูกน้อง 2 คน แต่ไม่กล้าให้ออกสงสารลูกน้องคะ แต่รายรับไม่พอจะไปจ่ายหนี้ เครียดคะแต่ก็ยังสู้ พยายามจะหาข้อมูลจากใน web นี้ให้มากที่สุด ต้องเตรียมตัวและเตรียมใจยอมรับสภาพที่จะเกิดขึ้น
รายการหนี้ต่างๆ
1.ธ.ไทยพาณิชย์ 160,000 บาท
2.ธ.กสิกรไทย 80,000 บาท
3.ธ.ธนชาต 80,000 บาท
4.เงินกู้จากบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อ 600,000 บาท (อันนี้เป็นหนี้จากการกู้นอกระบบไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยทบต้นทบดอกจาก 200,000 บาท) แต่ตอนนี้ หนี้ก้อนนี้ได้เข้าระบบถูกต้องตามกฎหมาย ดอกเบี้ย 2.33% ต่อเดือน ผ่อนแต่ดอกเดือนนึงก็เกือบ 13,000 บาท

5.ภาระหนักมากคะ ไหนจะรถที่ยังผ่อนไม่หมดอีก 2 คัน เนื่องจากแฟนต้องใช้ทำงานแต่พอเศรษฐกิจไม่ดีจะขายก็ขายไม่ได้เพราะเพิ่งซื้อมาได้แค่ปีกว่าๆ ค่ารถ 2 คัน = 25,000 บาท
6.ผ่อนบ้านอีกเดือนละ 11000 บาท
ทำงานคนเดียว เพราะสามี ทำธุรกิจส่วนตัวแล้วไม่ประสบความสำเร็จกำลังหางานทำอยู่คะ ลูกก็เรียน 2 คน ให้กำลังใจตัวเองทุกวัน ท้อแต่ก็สู้คะ

rach2819 เขียน: 4.เงินกู้จากบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อ 600,000 บาท (อันนี้เป็นหนี้จากการกู้นอกระบบไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยทบต้นทบดอกจาก 200,000 บาท) แต่ตอนนี้ หนี้ก้อนนี้ได้เข้าระบบถูกต้องตามกฎหมาย ดอกเบี้ย 2.33% ต่อเดือน ผ่อนแต่ดอกเดือนนึงก็เกือบ 13,000 บาท

ในปัจจุบันนี้ประชาชนต่างแสวงหาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการและบางครั้งกำลังในการซื้ออาจไม่เพียงพอ จึงหาทางออกโดยการไปกู้ยืมเงินจากแหล่งเงินทุนทั้งในและนอกระบบ ปัญหาที่ตามมาคือผู้ไปกู้ยืมมักถูกเอาเปรียบจากการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

ด้วยเหตุนี้ประชาชนจึงควรรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ของตนอันพึงมีในการทำสัญญากู้ยืมเงิน โดยปกติแล้วการกู้ยืมเงินจะต้องมีการ “ทำสัญญาเงินกู้” เก็บไว้เพราะสัญญาเงินกู้มีความสำคัญมาก เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้ว่า ในการกู้ยืมเงินที่มากกว่า 2,000 บาท คือตั้งแต่ 2,001 บาท ขึ้นไป จะต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือว่าได้มีการกู้ยืมเงิน(ทำเป็นสัญญาเงินกู้นั่นเอง) และผู้กู้ยืมจะต้องลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญานั้นด้วย จึงจะฟ้องร้องตามสัญญาเงินกู้ได้ ขอย้ำนะครับว่า ถ้าไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินแล้ว แม้จะยอมรับว่ากู้จริงแต่ก็นำไปฟ้องศาลไม่ได้ แต่ถ้าจำนวนที่กู้ยืมไม่เกิน 2,000 บาท แม้จะไม่มีหลักฐานในการกู้ยืมเงินก็ฟ้องร้องตามสัญญาได้ และเพื่อเป็นการรักษาสิทธิของผู้กู้ยืม ทุกครั้งที่มีการชำระหนี้เงินกู้ ควรขอใบเสร็จจากผู้ให้กู้เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานยืนยันการชำระหนี้ มิฉะนั้นแล้ว อาจถูกเอาเปรียบได้ หากภายหลังเจ้าหนี้บอกคุณว่ายังไม่ได้ชำระหนี้ทั้งๆที่คุณชำระหนี้แล้ว

สำหรับการกำหนดดอกเบี้ยนั้นทางภาครัฐได้ใช้กฎหมายเข้ามาควบคุมไม่ให้คิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ก็เพื่อคุ้มครองไม่ให้ผู้กู้ยืมถูกเอารัดเอาเปรียบจากการคิดดอกเบี้ยมหาโหด โดยพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ได้วางหลักเกณฑ์ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ คือ ผู้ให้กู้ยืมจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าร้อยละ 15 บาทต่อปี หรือร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือนไม่ได้ ถ้าฝ่าฝืนจะมีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 1,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และดอกเบี้ยที่กำหนดกันไว้ก็จะตกเป็นโมฆะ ถือเสมือนว่าการกู้ยืมเงินนั้นไม่ได้มีการกำหนดดอกเบี้ยขึ้นแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากผู้กู้ยืมสมัครใจที่จะกู้ยืมเงินที่มีการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรากว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วนอกจากจะไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิดตาม พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ.2475 เพราะไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตาม มาตรา 2 (4) แล้ว ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 408 ซึ่งผลก็คือเมื่อลูกหนี้สมัครใจชำระไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นดอกเบี้ยที่เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดก็ไม่สามารถเรียกคืนได้ ซึ่งเรื่อนี้ก็ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วคือ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่101/2554 หากเป็นการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของสถาบันการเงินสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าร้อยละ 15 บาทต่อปีได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย เช่น เราไปกู้ยืมเงินจากธนาคาร ธนาคารจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าร้อยละ 15 บาท ต่อปีก็ได้ ทั้งนี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 ฉะนั้น ในการกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ควรกำหนดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ ร้อยละ 15 บาท ต่อปี เพราะถ้าหากฝ่าฝืนแล้วจะต้องถูกดำเนินคดีฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราและทำให้ดอกเบี้ยนั้นตกเป็นโมฆะไปด้วย ซึ่งไม่คุ้มกับการที่ต้องติดคุกเพราะเหตุเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

www.sme.go.th/Lists/EditorInput/DispF.aspx?List=15dca7fb%2Dbf2e%2D464e%2D97e5%2D440321040570&ID=945

www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=525188&Ntype=136

www.nidambe11.net/ekonomiz/2006q3/2006september16p1.htm

rach2819 เขียน: 6.ผ่อนบ้านอีกเดือนละ 11000 บาท

บ้าน/ที่ดิน ที่ยังติดผ่อนอยู่ สามารถยึดได้ เพราะผู้ที่ผ่อนชำระกับธนาคาร

มีชื่อเป็นเจ้าของที่แท้จริงแล้ว ตั้งแต่ทำสัญญาจะซื้อจะขาย

ธนาคารเป็นเพียงผู้ให้กู้เงิน ในฐานะ"ผู้รับจำนอง"เท่านั้น...แต่มิใช่เจ้าของ

(สามารถดูชื่อเจ้าของได้จาก สำเนาโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าว)

หากผู้ที่ผ่อนชำระเป็นลูกหนี้(จำเลย)ตามคำพิพากษาของศาล ในคดีบัตรเครดิตหรือคดีหนี้เงินต่างๆ

แล้วเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ในคดีของบัตรเครดิตหรือคดีหนี้เงินต่างๆเหล่านั้น

มันดันไปสืบเจอว่า บ้าน/ที่ดิน ดังกล่าวนี้ มีชื่อของลูกหนี้เป็นเจ้าของ

(ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของในฐานะ "ผู้กู้บ้าน" หรือ "ผู้กู้ร่วม" ก็ตาม)

และถึงแม้จะยังคงต้องจ่ายค่าผ่อนจำนองอยู่กับธนาคารใดๆก็ตาม...ไม่มีผลในทางกฏหมาย

เจ้าหนี้(โจทก์)ก็จะไปแจ้งหลักฐานต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี

ให้มายึดเอา บ้าน/โฉนดที่ดิน ไปขายใช้หนี้ได้ตามกฏหมาย


กระทู้ตัวอย่าง
www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&func=view&catid=2&id=9039

www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&func=view&catid=2&id=9039&limitstart=6

บ้านที่ผ่อนเป็นชื่อแฟนคนเดียวในสัญญาการกู้บ้านแต่จดทะเบียนกันคะ เค้าสามารถมายึดทรัพย์ได้หรือเปล่าคะ
ตอนนี้ควรต้องปฎิบัติตัวอย่างไรดีคะ รบกวนขอคำชี้แนะด้วยคะ

ลืมบอกไปคะว่า สำเนาโฉนดเป็นชื่อแฟนแต่เพียงผู้เดียว แต่เรามีชื่อเป็นเจ้าบ้านคะ มีผลยังไงบ้างคะ

rach2819 เขียน: บ้านที่ผ่อนเป็นชื่อแฟนคนเดียวในสัญญาการกู้บ้านแต่จดทะเบียนกันคะ เค้าสามารถมายึดทรัพย์ได้หรือเปล่าคะ

ทรัพย์ที่เป็น"สินสมรส"สามารถ ยึด/อายัด กึงหนึ่ง(ครึ่งนึง)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&catid=5&id=36134&Itemid=64&view=topic#36134

rach2819 เขียน: ลืมบอกไปคะว่า สำเนาโฉนดเป็นชื่อแฟนแต่เพียงผู้เดียว แต่เรามีชื่อเป็นเจ้าบ้านคะ มีผลยังไงบ้างคะ

debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=41129&Itemid=64&limitstart=20#51447

debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=41059&limitstart=20&Itemid=64#51490

rach2819 เขียน: ตอนนี้ควรต้องปฎิบัติตัวอย่างไรดีคะ รบกวนขอคำชี้แนะด้วยคะ

ขอไม่ตอบครับ

www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=40552&Itemid=64#45365

เข้ามาให้กำลังใจค่ะ พยายามอ่านกระทุ้ปักหมุดเยอะๆ และกระทุ้แนะนำด้วยค่ะ จะมีกำลังใจ และกำลังกายขึ้นมาก

ขอแก้ตัว เขียน: เข้ามาให้กำลังใจค่ะ พยายามอ่านกระทุ้ปักหมุดเยอะๆ และกระทุ้แนะนำด้วยค่ะ จะมีกำลังใจ และกำลังกายขึ้นมาก

ขอบคุณมากนะคะสำหรับกำลังใจและข้อมูลคะ

ทรัพย์ที่เป็น"สินสมรส"สามารถ ยึด/อายัด กึงหนึ่ง(ครึ่งนึง)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&catid=5&id=36134&Itemid=64&view=topic#36134


ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ รบกวนสอบถามอีกนิดนะคะ แล้วรถเค้าสามารถยึดได้หรือเปล่าคะ

ในส่วนที่เค้าจะยึดบ้าน ในกรณีที่เราไม่สามารถ ชำระหนี้ได้แล้วใช่ไหมคะ ต้องมีการตกลงกันก่อนหรือเปล่าคะ

ช่วงนี้โทรมาตาม ทวงหนี้ทุกวันคะ แต่ก็พูดกับเค้าดีๆ เข้าใจคะ ว่าเค้าก็ทำหน้าที่ของเค้า ไว้หมดหนี้เมื่อไหร่อยากมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง เป็นจิตอาสาอะไรก็ได้คะ แต่ตอนนี้ขออย่างเดียวให้หมดหนี้ก่อน เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะตอบคำถามคนที่ติดหนี้ได้ยังไง เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ

เมื่อวานเจ้าหน้าที่ ไทยพาณิชย์ โทรกระหน่ำคะ ว่าจะจ่ายได้เมื่อไหร่ บัตรคุณจะถูกระงับแล้วและต้องส่งเรื่องเข้าสำนักงานกฎหมายแล้ว ก็เลยตอบไปว่า ขอดูเงินก่อนแต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจ่าย เจ้าหน้าที่เหมือนจะใส่อารมณ์เสียเพราะโทรมาหาหลายรอบแต่ไม่มีจ่าย แต่เราก็พยายามพูดดีกับเค้าคะ

มีบริษัทที่ปล่อยนอกระบบวงเงินเยอะแบบนี้เลยหรอค่ะ