ลักษณะคำถามแบบนี้ ในอดีตเคยมีกรรมการของชมรมฯได้เคยถามผมไว้เช่นกันอยู่ในกระทู้เก่า(แต่ปัจจุบันกระทู้อันนั้นได้ถูก Hacker ทำการลบสูญหายไปแล้ว)
ผมจึงขอ Copy ข้อความในกระทู้เดิมอันนั้น ให้ได้นำมาอ่านกันอีกครั้งนะครับ
คำถามจาก pikolo
พี่นกคะ...
มีผู้หญิงคนนึงเขาไม่เคยเป็นหนี้แล้วเขาจอดรถไว้ที่ห้าง...แล้วโดนทุบรถจริง...เขาถ่ายรูปไว้...แจ้งความ...อายัดบัตร...
ตอนแรก HSBC ไม่ยอม...จะให้ใช้คืนอย่างเดียว...แถมทวงหนี้ประจานให้เธอผู้นั้นได้รับความเสื่อมเสีย...
เขาเลยเป็นลูกหนี้รายแรกที่ใช้ ป.วิ ผุ้บริโภค ฟ้องเรียกร้องสิทธิค่ะ...
ต้องตามไปหาดุคลิปของข่าว 3 มิติคืนนั้นที่ปิ๊กดู...
เขาไปขึ้นศาลแล้วก็ได้ออกทีวีด้วยค่ะ...
คนร้ายถูกจับได้...ทำมาหลายครั้งแล้ว...โดนจำคุกรวมหลายคดีเกือบ 80 ปีแน่ะค่ะ...
ส่วนตอนท้ายของข่าวที่ไปสัมภาษณ์ทนายฝ่ายจำเลยคือ HSBC เขารู้ว่าสื่อมากันเยอะ...เขาเลยบอกว่าติดต่อกะทางธนาคารแล้วเขาไม่เอาตังค์แล้วค่ะ...
ถึง : น้องปิ๊ก
ผมอ่านข้อความตามข่าวในกระทู้ที่คุณทำ Link ให้ดูแล้ว...ถ้าเป็นในกรณีเช่นนี้ สามารถใช้กฏหมายตาม ป.วิ.ผู้บริโภคได้...ด้วยเหตุผลดังนี้
ความเสียหายในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากเธอคนนี้เป็นผู้กระทำการสะเพร่า...ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
ทางสถาบันการเงินหรือธนาคาร จะมีมาตราการป้องกันการจารกรรมเงินในบัตร ไว้ค่อนข้างรอบคอบพอสมควรอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็น บัตรกดเงินสด หรือ บัตรเครดิต หรือบัตร ATM ก็ตาม...เช่น
- บัตรกดเงินสด , บัตรเครดิต หรือ บัตร ATM ใดๆ...หากผู้ถือบัตรทำบัตรสูญหาย หรือถูกขโมย แต่ถ้าผู้ที่เป็นเจ้าของบัตร ไม่ได้เขียนรหัสสำหรับกดเงินสดเอาไว้ที่ตัวบัตร หรือไม่ได้จดรหัสบัตรใส่กระดาษแล้วแนบติดไปกับตัวบัตร แล้วล่ะก็...คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัตร ก็ไม่สามารถเอาบัตรไปกดเงินที่ตู้ ATM ออกมาได้...จริงไหม?
- รหัสที่ใช้สำหรับกดเงินที่ตู้ ATM สำหรับ บัตรกดเงินสด , บัตรเครดิต จะถูกจัดส่งมาทางไปรษณีย์ให้กับเจ้าของบัตร ภายหลังจากที่ได้ส่งบัตรมาให้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยในจดหมายปิดผนึกใบนั้น จะมีรหัสที่ใช้สำหรับกดเงินกด พร้อมกับข้อความกำกับเอาไว้ว่า
"กรุณาทำลายเอกสารฉบับนี้ทันที หลังจากที่ท่านจดจำรหัสตัวเลขไว้แล้ว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยสำหรับข้อมูลของท่าน"
- ในกรณีที่เพิ่งได้รับบัตรเครดิตมาใหม่ๆ(โดยการส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน) เมื่อแกะซองออกดู จะเห็นว่ามีบัตรเครดิตใบใหม่อยู่ในซองนั้น พร้อมกับสติกเกอร์ข้อความที่แปะอยู่ที่บนบัตร เขียนกำกับเอาไว้ว่า
"หากต้องการเปิดใช้บัตร โทร 02-xxx-xxxx กด 1 และ กด 3...และกรุณาเซ็นต์ชื่อของท่านลงบนหลังบัตรทันที หลังจากที่ได้รับบัตรแล้ว"
- ทุกครั้งที่มีการติดต่อขอข้อมูลกับทางสถาบันการเงิน ทาง Call Center จะทำการซักประวัติส่วนตัวของผู้ที่เป็นเจ้าของบัตรก่อน เช่น หมายเลขบัตรประชาชน , วัน-เดือน-ปี เกิด , เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ , ที่อยู่ในการจัดส่งเอกสาร เป็นต้น...เพื่อยืนยันข้อมูลในเบื้องต้นว่าเป็นเจ้าของบัตรจริงๆ
- ในกรณีของการนำบัตรเครดิตไปใช้รูดซื้อสินค้า/บริการ เจ้าของร้านหรือผู้ที่ดูแลร้่านค้านั้นๆ จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบลายเซ็นต์ที่อยู่ด้านหลังของบัตรเครดิต ว่าตรงกันกับลายเซ็นต์ที่ผู้มาใช้บริการได้เซ็นต์ลงในใบสลิปหรือไม่?
หากลายเซ็นต์ไม่ตรงหรือไม่เหมือนกัน ก็ให้เซ็นต์ใหม่อีกครั้ง (เซ็นต์ใหม่ ตรงข้างๆลายเซ็นต์เดิมนั่นแหละ) หากยังเซ็นต์แล้ว ก็ยังไม่ตรงกันอีก ก็ให้เซ็นต์ใหม่อีก...และถ้าเซ็นต์รวมกันทั้งหมดครบ 3 ครั้งแล้ว (3 ลายเซ็นต์) ก็ยังไม่เหมือนลายเซ็นต์ที่อยู่บนด้านหลังบัตรอีก ก็ให้ทางร้านค้านั้นๆ ปฏิเสธการใช้บัตรเครดิตใบนี้ในการใช้รูดซื้อสินค้า/บริการ ทันที...เพราะถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ทางธนาคารจะไม่ขอรับผิดชอบใดๆ ในการจ่ายเงินค่ารูดบัตร คืนให้กับทางร้านค้า (ซึ่งเรื่องนี้ ทางร้านค้าที่มีบริการรับรูดบัตรเครดิต ทราบเงื่อนไขเป็นอย่างดี) และทางธนาคารจะจ่ายเงินค่ารูดบัตรคืนให้กับทางร้านค้า โดยยึดถือเอาระยะเวลาเครดิต ประมาณ 30-45 วัน
(พูดง่ายๆก็คือ ธนาคารขอให้ทางร้านสำรองจ่ายเงินออกไปก่อน แล้วธนาคารจะจ่ายเงินคืนให้ทางร้านค้า้ทีหลังภายในระยะเวลา 30-45 วัน ถ้าไม่เกิดกรณีทักท้วงใดๆจากผู้ถือบัตร)
- ผู้ที่เป็นเจ้าของบัตร สามารถปฎิเสธการชำระหนี้ได้ หากตรวจสอบพบยอดหนี้ที่ไม่ถูกต้อง โดยจะมีข้อความแจ้งเตือนอยู่ในทุกใบแจ้งหนี้ ของทุกสถาบันการเงินที่จัดส่งใบแจ้งหนี้มา...เช่น
ขอยกตัวอย่างจากในกรณีที่เกิดขึ้นจริงกับตัวผมก็แล้วกัน
เมื่อก่อนหน้านี้(นานหลายปีแล้วล่ะ) ผมเคยขับรถปิกอัพไปเติมน้ำมัน ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.แห่งหนึ่ง เป็นจำนวนเงิน 800.-บาท แล้วใช้บัตรเครดิต(VISA) ของ ธ.ไทยพาณิชย์ ในการรูดเติมน้ำมันในครั้งนั้น โดยที่ผมก็เห็นว่าเด็กปั๊มนำบัตรเครดิตของผม ไปรูดที่เครื่องรูดบัตรประจำปั๊มจริง แต่ยืนรออยู่ตั้งนาน เครื่องรูดบัตรเครื่องนั้นก็ไม่ยอมพิมพ์ใบสลิป(Print out)ออกมาสักที จนกระทั่งเด็กปั๊มคนนั้น ทำการเคลียร์หน้าจอใหม่ แล้วก็เอาบัตรผมรูดซ้ำที่เครื่องอีกครั้ง...ผลปรากฏว่าคราวนี้ใบสลิปออกมาตามปกติ ผมจึงเซ็นต์ชื่อลงในใบสลิปที่เป็นต้นขั้ว แล้วก็ส่งคืนให้กับเด็กปั๊มไป
หลังจากนั้นก็มีใบแจ้งหนี้ส่งมาที่บ้านผม
โดยมีรายการแจ้งหนี้ว่าผมนำบัตรไปรูดเติมน้ำมัน ที่ปั๊ม ปตท.ในวันดังกล่าวถึง 2 ครั้ง ครั้งละ 800.-บาท
ผมจึงโทรไปที่ Call Center ของ ธ.คารไทยพาณิชย์ เพื่อแจ้งว่ารายการหนี้ดังกล่าวนั้น ไม่ถูกต้อง โดยบอกเล่าเรื่องราวที่ไปรูดบัตรในวันนั้นให้เจ้าหน้าที่ฟัง
เจ้าหน้าที่คนนั้นขอตรวจสอบข้อมูลสักครู่ แล้วก็แจ้งกลับมายังผมว่า
ตรวจพบว่ามีการรูดบัตร ณ.ปั๊มน้ำมันเดียวกัน , โดยใช้"เครื่องรูดบัตร"หมายเลขเครื่องเดียวกัน , ในวันที่เดียวกัน , ในเวลาเดียวกัน(ชั่วโมง:นาที เหมือนกัน) , มีใบสลิปที่เรียกเก็บหนี้ส่งมาให้ทางธนาคาร 2 ใบ ใบละ 800.-บาท
แต่พอตรวจสอบในใบสลิปแล้ว ทั้ง 2 ใบมีลายเซ็นต์ที่ไม่เหมือนกัน สีของหมึกปากกาที่เซ็นต์ทั้ง 2 ใบ ก็เป็นคนละสีกัน มีสลิปอยู่เพียงใบเดียวที่ลายเซ็นต์ในใบสลิป เหมือนกันกับลายเซ็นต์ของเจ้าของบัตร
ส่วนสลิปอีกใบหนึ่งลายเซ็นต์ไม่เหมือน...ดังนั้น ธนาคารจะได้แจ้งปฎิเสธการชำระหนี้ในส่วนของใบสลิปที่ลายเซ็นต์"ไม่เหมือน" ให้ทางเจ้าของปั๊มน้ำมันได้ทราบต่อไป ส่วนในรายการหนี้ที่ซ้ำซ้อนของผมก็ไม่ต้องจ่าย โดยทางธนาคารจะทำเรื่อง Adjust ให้ในรอบบิลหน้า
แล้วพอรอบบิลหน้ามาถึง ก็ปรากฏว่ามีการปรับแก้ไขรายการหนี้ดังกล่าวออกไปให้จริงๆ
นี่แหละครับ...การตรวจสอบรายการหนี้ และการทักท้วงในสิทธิ์ของผม
ดังนั้น...ในกรณีที่ pikolo ถามมานี้...มันจึงสามารถคุ้มครองสิทธิ์ในการใช้บัตรของเธอได้ เพราะว่า
* เธอได้ Lock รถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่โดนขโมยทุบกระจกแตก เพื่อลักทรัพย์สินที่อยู่ในรถ...เธอไม่ได้กระทำการประมาทโดยการไม่ Lock ประตูรถ
* ลายเซ็นต์ที่อยู่ในใบสลิป ไม่ใช่ลายเซ็นต์ของเธอ(เพราะมันเป็นลายเซ็นต์ของหัวขโมย) ดังนั้น ทางร้านค้าจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายเอง เนื่องจากบกพร่องในการตรวจสอบลายเซ็นต์ (แสดงว่าการตรวจสอบความเป็นเจ้าของบัตรโดยทางร้านหละหลวม ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทางธนาคารกำหนดไว้)
* เธอได้ใช้สิทธิ์ในการทักท้วงรายการหนี้ดังกล่าว กับทางธนาคารแล้ว ดังนั้น ธนาคารจะต้องทำการปฎิเสธการจ่ายชำระหนี้จำนวนนี้ ให้กับทางร้านค้าต่อไป(เพราะยังติดเครดิตกันอยู่อีก 30-45 วัน) ซึ่งสามารถพิสูจน์หลักฐานได้ จากลายเซ็นต์ในใบสลิป และภาพจากกล้องวงจรปิดที่ทางร้านบันทึกใบหน้าของไอ้หัวขโมยรายนี้ได้...แต่นี่ ธนาคารกลับกระทำการผิดพลาดเสียเอง ด้วยการจ่ายชำระเงินให้กับทางร้านค้าตามปกติ แล้วมาทวงหนี้กับเธอแทน
จากเหตุผลดังกล่าวทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าการกระทำของธนาคาร เข้าข่ายเป็น
การละเมิด , การเอาเปรียบผู้ถือบัตร อย่างชัดแจ้ง โดยทุกอย่างมีหลักฐานและพิสูจน์ทราบได้หมด
ดังนั้นในกรณีนี้จึงเป็นลักษณะที่ผู้บริโภค สามารถฟ้องผู้ประกอบการได้ ตามหลักเกณฑ์ของ ป.วิ.ผู้บริโภค ที่ได้บัญญัติไว้
นกกระจอกเทศ
หวังว่าคงพอจะเห็นภาพแล้วนะครับ
หนี้บัตรเครดิตของใคร...??
www.dailynews.co.th/Content/Article/149286/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3...%3F%3F
บัตรเครดิตถูกขโมยไปใช้หรือหายทำอย่างไรดี หนี้ดังกล่าวใครต้องรับผิดชอบ…?
webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:8MM4Vj5P59gJ:w3p-account.com/2012/09/19/credit-card-stole/+&cd=13&hl=th&ct=clnk&gl=th
บัตรเครดิตหายมีคนนำไปรูด จะทำอย่างไร
www.consumerthai.org/main/index.php?option=com_content&view=article&id=1968:2011-09-27-08-44-30&catid=147:2011-08-30-03-45-47&Itemid=89