เรื่องเล่าชาวหนี้ 'ชีวิตหนี้ของข้าพเจ้า' - คุณเก่ง FamilyMan

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #868 โดย 0834368962
บทที่ 1. ชีวิตในวัยเยาว์ (ยังไม่เกี่ยวกับหนี้ของผม)

ชีวิตผมเริ่มต้นในครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก พ่อเป็นคนเชียงใหม่ แม่เป็นคนเชียงราย ทั้งสองมาเจอและรักกันที่กรุงเทพ ตอนที่ท่านแต่งงานกันใหม่ๆไม่มีบ้านอยู่ ต้องไปขอความช่วยเหลือจากป้า(พี่สาวของพ่อ) ขออาศัยบ้านเค้าอยู่ ตอนนั้นพ่อกับแม่ผมทำงานโรงแรม แม่ตื่นแต่เช้ามาช่วยป้าทำกับข้าวขาย เนื่องจากป้าผมขายข้าวแกง พอเริ่มมีลูก พ่อกับแม่ของผมก็ทำงานสลับกะกัน พ่อทำงานกะกลางคืน เพื่อที่ตอนกลางวันจะได้ดูแลลูก ส่วนแม่ทำงานกะกลางวัน เพื่อที่จะต้องช่วยงานป้า และดูแลลูกตอนกลางคืน สลับกันไปแบบนี้ ครอบครัวผมมีพี่น้อง 3 คน ผมเป็นคนกลาง และเป็นลูกชายคนเดียว พี่กับน้องเป็นผู้หญิง เนื่องจากครอบครัวผมมีเชื้อจีน ครอบครัวผมถึงแม้จะไม่สบายแต่พ่อแม่ก็ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา พ่อแม่ผมจบแค่ มศ.4 เองครับ ท่านก็ยังอุตสาห์พยายามส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนฝรั่ง แถวบางรัก (ถ้าบอกชื่อไปทุกคนต้องรู้จักแน่เลยครับ) พี่สาวกับน้องสาวผมก็เรียนโรงเรียนฝรั่งเหมือนกัน พอลูกๆเข้าเรียน คราวนี้รายจ่ายในบ้านเริ่มเยอะกว่ารายรับแล้ว เพราะมีลูกตั้ง 3 คน แต่พ่อแม่ก็ไม่เคยบ่นให้ลูกๆฟังซักคำ สุดท้ายไม่ไหวจริงๆ พ่อผมจึงต้องดิ้นรนไปทำงานต่างประเทศ ตอนแรก็ไปซาอุดิอาระเบีย แต่อยู่ไม่ไหวเนื่องจากอากาศร้อนมากๆ ตอนหลังไปอยู่หมู่เกาะเบอร์มิวด้า ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในโรงแรม ได้ทิปค่อนข้างเยอะ เมื่อพ่อไปทำงานต่างประเทศรายได้ของพ่อผมเยอะครับ สมัยนั้น 50,000 บาท ต่อเดือน เมื่อสมัย 20 - 30 ปีก่อน แต่พอหักค่าใช้จ่ายที่นั่นก็พอมีเงินเหลือกลับมาให้ที่บ้านพอสมควร พอพ่อไม่อยู่ ภาระการเลี้ยงดูตกอยู่ที่แม่คนเดียว ตอนเช้าต้องรีบตื่นมาช่วยป้าทำกับข้าวไว้ขาย ทำเสร็จก็รีบปลุกพวกเรา 3 คนพี่น้องให้แต่งตัว แล้วกระเตงขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน แม่อุ้มน้องคนเล็ก จูงผม และก็ต้องคอยบอกพี่ให้เดินอยู่ใกล้ๆๆ ชีวิตเป็นแบบนี้อยู่พักนึงเหมือนกัน จนพ่อปรับตัวได้ เงินที่ส่งมาให้ที่บ้านก็เยอะขึ้น คราวนี้ก็เริ่มเก็บเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ความเป็นอยู่ที่บ้านก็เริ่มดีขึ้น

เนื่องจากครอบครัวผมเป็นคนจีน จึงค่อนข้างตามใจลูกชาย และยิ่งผมเป็นลูกชายคนเดียวด้วยแล้ว พ่อแม่จึงตามใจค่อนข้างมาก ไม่เคยช่วยทำงานบ้านเลย มีหน้าที่แค่ทานแล้วก็นอน ที่บ้านเค้าไม่ให้ลูกชายทำครับ แต่ที่บ้านเค้าค่อนข้างจะเข้มงวดกับพี่สาวและน้องสาวผม คือต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ล้างจาน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า คือทำทุกอย่าง แต่ผมไม่เคยต้องทำ เป็นอย่างนี้จริงๆครับในครอบครัวคนจีน

พอจบมัธยมก็เอนทรานซ์ แต่เอนทรานซ์ไม่ติด จึงไปเข้าเรียนคณะบัญชี ในมหาลัยเอกชนแห่งนึง แถวกล้วยน้ำไท (มี 2 วิทยาเขต ที่รังสิตปี 1-2 เรียน ที่กล้วยน้ำไทปี 3-4 เรียน) ตอนนั้นที่บ้านอยู่ในฐานะปานกลาง ผมก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการใช้จ่าย คือพ่อกับแม่ก็มีให้ตลอด ไม่เคยลำบาก ใช้ไปเรื่อยๆ พอหมด แม่ก็ให้ตลอด ผมรู้ได้ครับว่าแม่รักผมมาก อาจมากกว่าพี่กับน้องผมอีก สรุปคือก็จบออกมาอย่างไม่ยากลำบาก

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #869 โดย 0834368962
บทที่ 2. เข้าสู่วัยทำงาน

เมื่อจบมาก็ทำงานเป็น external auditor ก็ได้เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท ก็เหมือนคนที่จบใหม่ทุกคน... พอมีรายได้ตอนแรกก็จะให้ทางบ้าน แต่พ่อกับแม่ผมไม่เอา ท่านบอกว่าเก็บไว้ใช้เองเถอะ ท่านไม่ลำบากอะไร ตอนนั้นก็ถือว่าสบายทำงานหาเงินได้เอง แถมไม่ต้องให้ทางบ้าน ก็มีเงินเหลือสำหรับใช้เยอะ แต่ก็ใช้เยอะตามไปด้วย สรุปก็คือไม่มีเงินเหลืออยู่ดี ตอนนั้นเริ่มทำบัตรเครดิตบ้างแล้ว (เริ่มเข้าสู่หลุมดำ)

ทำงานไปได้ซัก 1 ปี ผมไปเจอรุ่นพี่ที่มหาลัย พี่เค้าแต่งงานกับชาวญี่ปุ่นและเปิดบริษัทขายตั๋วเครื่องบินอยู่ในเมืองไทย เค้าก็เสนอให้ผมทำบัญชีให้เค้า รวมถึงปิดงบการเงิน คำนวณภาษี หาคนเซ็นรับรองงบการเงิน คือทำทุกอย่าง.. ผมก็รับปากเค้า รายได้ดีมากครับ งานก็ไม่ลำบากมากเนื่องจาก Transaction ไม่เยอะทำไม่กี่วันก็เสร็จ.. งานเดียวทำไม่กี่วันได้เงิน 60,000 บาท รายได้ดีมาก พอเราทำงานดี นายญี่ปุ่นก็แนะนำเพื่อนชาวญี่ปุ่นให้รู้จัก ตอนนั้นผมเลยได้งานจากญี่ปุ่นเยอะมาก.. รายได้ที่ได้จากงานพิเศษมากกว่าที่ทำงานประจำมากๆ

ย้อนกลับไปเรื่องแฟนผมนะครับ แฟนผมเราคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยปี 2 ก็คบกับมาเรื่อยๆ พอจบออกมาทำงานก็ยังคบกัน ผมกับแฟนก็ช่วยกันเก็บเงินทั้งรายได้ประจำ กับรายได้พิเศษ ทุกอย่างดูเหมือนดี ตอนนั้นผมกับแฟนผมมีเงินเก็บ 1 ล้านบาทแรกตอนผมกับแฟนอายุแค่ 25 ปีเอง

แต่ตอนหลังก็ต้องเลิกรับทำบัญชีกับบริษัทญี่ปุ่น เนื่องจากผมทะเลาะกับนายญี่ปุ่น เพราะมีคนไปคุยกับญี่ปุ่นเค้าว่าน่าจะทำ 2 บัญชี จะได้เสียภาษีน้อยลง แต่ผมไม่เห็นด้วย บอกเค้าว่าไม่ควรทำ ไม่คุ้มหรอก หากสรรพากรเจอค่าปรับเยอะ ก็เลยทะเลาะกัน สรุปเลยต้องเลิก ตอนหลังได้ข่าวว่าเค้าหาคนอื่นมาทำแทนผม แบบที่สนองความต้องการเค้าได้ ก็ไม่ว่ากันครับ จบแล้วจบไป

ตอนนั้นมีเงินก้อน และแฟนผมเค้าก็มีปัญหากับที่ทำงาน ก็เลยมองหาทำเลค้าขาย ตัดสินใจว่าจะเปิดร้าน Gift Shop ไปได้ทำเลแถวอนุสาวรีย์ เป็นพลาซ่าที่เปิดอยู่หน้าซอยของโรงเรียนพาณิชย์ (ตอนนี้พลาซ่านั้นเปลี่ยนไปขายเฉพาะของ IT แล้ว) ตอนนั้นก็นำเงินเก็บไปลงทุน ซื้อของจากสำเพ็งไปขาย สำเพ็งจะมี 2 ตลาด คือตลาดเช้า กับตลาดบ่าย ตลาดเช้าจะเป็นพวกพ่อค้าแม่ค้ามาซื้อของไปขาย ผมก็ไปซื้อมาขายบ้าง ตอนนั้นลงทุนไปเยอะเหมือนกันครับทั้งค่าเซ้ง ค่าของ ค่าตู้โชว์ ค่าตกแต่งร้าน หมดไปประมาณ 3 แสนครับ ช่วงก่อนที่จะลงทุนผมกับแฟนไปซื้อรถยนต์ด้วยครับ คืออยากมีแบบเพื่อนๆบ้าง ตอนนั้นดาวน์รถไป 4 แสน มูลค่ารถประมาณ 8 แสน ที่เหลือผ่อนเดือนละประมาณ 1 หมื่น สรุปคือพอซื้อรถ ลงทุนเปิดร้าน แล้วเหลือเงินในบัญชีประมาณ 3-4 แสนเอง

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #870 โดย 0834368962
บทที่ 3. ชีวิตเริ่มตกต่ำ (ไม่ได้ตกต่ำเพราะแต่งงานนะครับ)

หลังจากเปิดร้านได้ไม่นาน ผมกับแฟนก็แต่งงานกัน ก็ใช้เงินเก็บของเราโดยที่ไม่ได้รบกวนพ่อแม่เลย เราสองคนตกลงค่าสินสอดกันเอง ไปดูฤกย์ยามกันเอง แล้วไปบอกพ่อแม่ว่าจะแต่งงานกัน แล้วจึงนัดให้พ่อแม่ผมกับพ่อแม่แฟนมาเจอกัน สรุปก็คือได้แต่งงาน มีครอบครัวของตัวเอง

พอแต่งงานก็เลยจะย้ายบ้านออกมาอยู่กัน พ่อแม่ผมท่านเคยซื้อบ้านเก็บไว้แต่ให้คนเช่าอยู่ ท่านเลยให้บ้านนั้นผม (ท่านบอกจะให้ผม แต่ยังไม่ได้โอนเป็นชื่อผม เพราะท่านกลัวว่าพี่น้องผมจะน้อยใจ ท่านบอกว่ารอให้พี่น้องผมเค้าแต่งงานออกไปก่อน และรอท่านแก่ตัวกว่านี้ค่อยโอนให้) แต่ผมต้องซ่อมแซมบ้าน และซื้อของเข้าบ้านเอง ตอนแต่งงานได้เงินที่ผู้ใหญ่ทั้งลุง ป้า น้า อา รับขวัญเป็นก้นถุงไว้ได้ประมาณ 4 แสน ก็เลยเอาเงินส่วนนี้ไปซ่อมบ้านกับซื้อของเข้าบ้าน ตอนนั้นบ้านโทรมมากๆๆๆครับ ผมแทบจะต้องทำทั้งหลัง และพวกค่าต่อเติมในกรุงเทพก็แพงมั๊กๆ สรุปคือใช้เงินไปประมาณ 5 แสน ทำให้เหลือเงินเก็บอยู่ประมาณ 2-3 แสน

แฟนผมเค้าก็ออกมาขายของที่ร้าน การเปิดร้านใหม่ๆ ตอนแรกจะยังไม่เห็นกำไรเป็นตัวเงิน คือพอขายของได้ ก็ต้องนำเงินไปซื้อของเข้าร้านไม่อย่างนั้นของไม่เต็มร้าน แล้วลูกค้าก็จะไม่อยากเข้าร้าน แถมตอนเปิดร้านใหม่ยังไม่ค่อยมีลูกค้าด้วย สรุปคือช่วง 6 เดือนแรกขาดทุน แต่เนื่องจากผมยังพอมีเงินเก็บ และยังมีรายได้ประจำจึงไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่ คือยังพอไหว หลังจากนั้นร้านเริ่มขายดีขึ้น มีลูกค้าประจำที่เป็นเด็กพาณิชย์ เริ่มมีกำไร คิดว่าทุกอย่างจะเริ่มดี พอร้านเราขายดี ก็มีคนมาเปิดร้านแข่งกันขึ้น เนื่องจากสินค้าก็นำมาจากที่เดียวกัน ต้นทุนที่นำมาก็พอๆกัน ร้านที่เค้าเปิดใหม่เค้าใช้นโยบายลดราคาเรียกลูกค้า ทำให้ดูเหมือนร้านผมขายแพง ผมก็เลยต้องลดราคาตามด้วย สรุปคือลดกันไปลดกันมา ขายได้ไม่คุ้มค่าเช่าร้าน ยื้อกันไปยื้อกันมาแบบนี้ประมาณปีกว่า สรุปคือแย่ทั้งคู่ อีกอย่างพลาซ่าโดยรวมก็อยู่ไม่ได้เพราะคนไม่ค่อยเข้าพลาซ่า เนื่องจากมีคนขายของตามข้างทางซึ่งขายของราคาถูก ทำให้คนไม่เดินเข้าพลาซ่า สรุปคือร้านผมก็แย่ พลาซ่าก็แย่ ผมเลยต้องตัดสินใจเลิกกิจการ สรุปคือเงินเก็บแทบไม่เหลือ เอาพวกตู้กับสินค้าไปขายเลหลังก็ได้เงินมานิดหน่อย... สรุปคือเงินเก็บที่เคยมีเป็นล้านหมดแทบเกลี้ยงครับ

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #871 โดย 0834368962
บทที่ 4. เริ่มเข้าสู่วงจรหนี้

หลังจากล้มเหลวในการเปิดร้าน Gift Shop.. แฟนผมก็ยังตกงานอยู่ ดังนั้นจึงต้องหาอะไรทำ ก็ได้ไอเดียเปิดร้านขายเสี้อผ้าฮ่องกง พอตกลงใจว่าจะขายเสื้อผ้า ก็เริ่มหาทำเล ตอนนั้นคิดว่าครั้งแรกที่ล้มเหลวเพราะเป็นทำเลที่คนยังไม่ติด ดังนั้นถ้าจะลงทุนต้องลงทุนในทำเลที่คนติดแล้ว หลังจากดูอยู่พักนึงก็ได้ทำเลที่ซอยละลายทรัพย์ข้างธนาคารกรุงเทพ ถ้าที่หน้าๆต้องเสียค่าเซ้งแพง ผมกับแฟนเลยตัดสินใจว่าเอาที่ในๆหน่อยที่ไม่ต้องเสียค่าเซ้ง แต่เสียค่าเช่าอย่างเดียว ค่าเช่าเดือนละ 6,500 บาท ซึ่งดูไม่แพงเลย ตอนจะหาของเข้าร้านตอนนั้นไม่มีทุนเหลือก็เลยมองไปที่บัตรเครดิต ก็เริ่มกดเงินจากบัตรเครดิตและกู้สินเชื่อมาเป็นทุนซื้อของเข้าร้าน แต่เนื่องจากพื้นที่ของร้านไม่ใหญ่ เสื้อผ้าที่นำมาลงก็เลยไม่ต้องเยอะตามไปด้วย ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดลงทุนไปประมาณ 1 แสนทั้งค่าหุ่นตั้งโชว์ ค่าแต่งร้าน ค่าไม้แขวน และค่าเสื้อผ้าที่นำมาวางขาย

ที่ซอยละลายทรัพย์จะขายได้เฉพาะช่วงเช้า กับช่วงเที่ยงเท่านั้น พอบ่ายกว่าๆนิดๆก็จะปิดร้านกัน ก็เหมือนการลงทุนทุกอย่างช่วงแรกๆจะไม่เห็นกำไรเป็นตัวเงิน เพราะพอเราขายของได้ เราต้องนำเงินตัวนั้นไปซื้อสินค้ามาเข้าร้าน ดังนั้นช่วงแรกๆแทบจะไม่ได้เงินจากร้านเลย แถมติดลบด้วย เนื่องจากมีค่าเช่าร้าน และพวกดอกเบี้ยจากบัตรเครดิต/สินเชื่อ ตอนนั้นก็คือพยายามหมุนเงิน ก็อาศัยรายได้ประจำของผมมาหมุน ช่วงนั้นผมว่าลูกค้ารู้เยอะขึ้นครับ ลูกค้ารู้ว่าเราซื้อของมาจากไหน ต้นทุนเรามาเท่าไหร่ ดังนั้นเราบวกกำไรไปมากไม่ได้ แถมทำเลที่ตั้งของผมก็อยู่ค่อนข้างลึก ก็เลยลำบาก.. ก็ฝืนทนทำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหยุดขาย เนื่องจากไม่ไหวจริงๆครับ ปิดร้านพร้อมกับหนี้สินประมาณ 2 แสน ตอนนั้นผมกับแฟนเข็ดแล้วครับสำหรับการค้าขาย อาจเป็นเพราะไม่มี sense ทางนี้ก็ได้ อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เห็นคนเค้าค้าขายกันก็มีกำไร แต่ทำไมเรายิ่งทำยิ่งติดลบ ก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ค้าขายอีกแล้ว แฟนผมเค้าก็กลับไปหางานประจำทำ

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #872 โดย 0834368962
บทที่ 5. ช่วงเวลาที่บัดซบของข้าพเจ้า

หลังจากเลิกขายเสื้อผ้าที่ซอยละลายทรัพย์ แฟนผมก็ตกงานอยู่พักนึง หนี้สินก็พยายามหมุนบัตรนั้นมาจ่ายบัตรนี้ กู้ที่นั่นมาจ่ายที่นี่ ผมต้องขอเล่าก่อนว่าช่วงนั้นที่บ้านผมก็มีปัญหาเหมือนกันคือพ่อทำงานที่ต่าง ประเทศต่อไม่ได้ เพราะคนท้องถิ่นเค้าต้องการให้เก็บงานไว้ให้คนท้องถิ่นทำ ดังนั้นพ่อผมจึงกลับมาอยู่เมืองไทย พ่อมีเงินอยู่ก้อนนึง ตอนนั้นหุ้นบูมก็มีคนมาชวนพ่อเล่นหุ้น พ่อก็เล่น ช่วงแรกๆก็ดี แต่ดังมีช่วงนึงที่ฟองสบู่แตก ตอนนั้นพ่อติดหุ้นเยอะมาก สุดท้ายจำใจเคลียร์หุ้นกับหนี้ทั้งหมด เงินที่มีมาก็แทบหมด พ่อกับแม่ผมก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่เชียงใหม่ไปค้าขายส่งไก่สดตามร้านขาย ข้าวมันไก่ พวกร้านอาหาร ครับ... ผมก็ไม่เคยบอกเรื่องหนี้ให้พ่อแม่รู้ กลัวเค้าเป็นห่วง อีกอย่างผมไม่เคยช่วยเหลือครอบครัวเลย...

หนี้สินของครอบครัวก็มีไม่ใช่น้อย แฟนก็ยังไม่มีรายได้ (พยายามหางานทำอยู่) แทนที่ตัวผมเองจะใช้จ่ายอย่างประหยัด มีวินัยทางการเงิน แต่ตัวผมเองสมัยนั้นเป็นคนที่เป็นห่วงหน้าตาในสังคม เวลาไปไหนก็จะเลี้ยงน้องๆ ทำงัยหละก็ใช้บัตรเครดิตงัยครับ เพราะเราเป็นพี่เวลาไปกันกับน้องให้น้องออกได้งัย เป็นคนหน้าใหญ่ซะจริงๆ...

ที่สำคัญและเลวจริงๆคือ ผมไปหลงผู้หญิงคนนึง เสียเงินไปเยอะมาก คืออยากให้เค้าชอบเรา ผู้หญิงคนนั้นเค้าก็รู้นะครับว่าผมแต่งงานแล้ว เหมือนเป็นกิ๊กกัน สุดท้ายแฟนทราบก็เกือบเลิกกัน แฟนให้ผมเลือก ผมก็ตัดสินใจเลือกแฟนผม หลังจากนั้นผมก็เลิกกับผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด แต่ที่ผมไม่ได้บอกแฟนผมให้ทราบก็คือผมมีหนี้ที่เกิดจากช่วงที่ผมไปหลง ผู้หญิงคนนั้นอยู่พอสมควร รวมทั้งหนี้ที่เกิดจากความหน้าใหญ่ของผม ประมาณ 3 แสนบาท แฟนผมเค้านึกว่าครอบครัวมีหนี้สินที่เกิดจากการค้าขายและช่วงที่เค้าตกงาน เพียง 3 แสนบาท... สรุปคือตอนนี้มีหนี้ 6 แสน

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #873 โดย 0834368962
บทที่ 6. อยากกลับตัว แต่ดันกลายเป็นวัวพันหลัก

เมื่อแฟนผมหางานทำได้ ช่วงนั้นเค้าก็ค่อนข้างระแวงผม ผมก็เลยให้เค้าดูแลเงินเดือนผมทั้งหมด อ้าวแล้วทีนี้ทำงัยดีหละ หนี้ที่ตัวผมมีแต่แฟนไม่ทราบมีตั้ง 3 แสน จะบอกก็บอกไม่ได้ เพราะมีชนักติดหลังอยู่ กลัวเค้าเลิกกับผมครับ ผมอยากกลับตัวใหม่ อยากให้เค้าอยู่กับผมต่อไป... กลัวมากๆ กลัวขึ้นสมองเลยครับ ว่าถ้าเค้ารู้เค้าจะขอเลิกกับผม แล้วผมจะไม่เหลือใคร... ก็เลยพยายามแก้ปัญหาด้วยการหมุนบัตรนั้นมาจ่ายบัตรนี้ กู้ที่นั่นมาจ่ายที่นี่ โดยที่แฟนผมไม่ทราบ แฟนผมเค้านึกว่ามีหนี้สินเพียงที่เค้าทราบ ซึ่งก็ไม่มากยังพอไหว

ผมกลับตัวจริงๆครับ ไม่เคยมองผู้หญิงคนอื่นอีกเลย เรื่องกินกับเพื่อนๆหรือน้องๆก็ไม่ไป พยายามประหยัดอย่างสุดๆ พยายามหางานใหม่ที่ได้เงินเดือนเยอะขึ้น ทำงานในกรุงเทพเงินเดือนไม่ค่อยเยอะมาก แถมรายจ่ายก็เยอะด้วย เลยขอแฟนว่าจะหางานทำที่ต่างจังหวัดทำน่าจะได้เงินมากกว่าเดิม ก็มาได้งานที่ระยอง รายได้ก็เพิ่มขึ้นจากที่เคยทำงานที่กรุงเทพได้ประมาณ 30,000 บาท ตอนนี้ได้รายได้ประมาณ 45,000 บาท ช่วงหลังผมก็แฟนก็มีลูกครับ ตอนคลอดลูกก้ไม่ปกติต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกหลายอาทิตย์ ตอนนั้นเสียเงินไปอีก 70,000 บาท พอมีลูกก็มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นด้วย ค่านมลูก อะไรต่ออะไรมากมาย ถึงรายได้เพิ่ม พยายามลดค่าใช้จ่ายรายเดือนก็แล้วแต่หนี้สินก็ยังไม่ลด โดยเฉพาะหนี้สินทีผมไม่ได้บอกแฟนตอนแรก จาก 3 แสนเพิ่มขึ้นเป็น 8 แสน ส่วนหนี้สินตัวที่แฟนทราบประมาณ 4 แสน สรุปคือหนี้สินทั้งบ้านประมาณ 1.2 ล้านบาท

สรุปคือจ่ายไม่ไหวจริงๆ ผมพยายาหมุนหนี้สินของผม เพราะไม่อยากให้แฟนทราบ แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวจริงๆ เหมือนมองไม่เห็นทางออกเลยครับ

เคยคิดฆ่าตัวตายเพราะอยากหนีปัญหา เคยคิดนะครับว่าถ้าสมมุติผมขับรถไวๆแล้วเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิต น่าจะได้เงินจากประกันประมาณ 1 ล้านกว่า น่าจะเอามาเคลียร์หนี้ได้หมด แต่พอมองหน้าลูกแล้วไม่กล้าทำจริงๆครับ ผมอยากเห็นลูกผมเติบโตขึ้น ไม่อยากให้เค้าอยู่โดยขาดพ่อ กลัวว่าเค้าจะมีปัญหา เคยวางแผนว่าจะทำนะครับ ขนาดอัดวีดีโอสั่งเสียเอาไว้ กะว่าจะทำจริงๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้วีดีโอม้วนนี้ผมยังแอบเก็บไว้เลยครับ

ชีวิตมืดมน ไม่มีทางออก ไม่กล้าบอกแฟนกลัวเค้าไม่ให้อภัยเรา พยายามหมุนเงินเอง สรุปคือกลายเป็นวัวพันหลัก ไม่มีทางออก

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #874 โดย 0834368962
บทที่ 7. กำลังใจจากเพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้า

ตอนนั้นปัญหาของผมมาถึงทางตัน หาทางออกไม่ได้จริงๆครับ หันไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน แต่โชคดีตอนนั้นอ่านข่าวในเวปผู้จัดการ มีการลงข่าวชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เลยลองเข้าเวปดู ตอนนั้นไม่รู้ต้องทำอย่างไรบ้าง กำลังใจแทบหมด หน้าตาดูโทรมมากเลยครับ ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเข้ามาตั้งกระทู้ระบายความรู้สึกในเวป ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนมาสนใจเรา แต่ผิดคาดครับมีเพื่อนๆเข้ามาให้กำลังใจมากเลยครับ (กระทู้นี้ผมยัง Copy เก็บไว้อ่านอยู่เลยครับ เอาไว้อ่านเวลาเครียดๆ) กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากครับสำหรับคนที่มีปัญหา ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนที่รับฟังปัญหาของผม และยังมีอีกหลายคนที่มีปัญหาแบบผมและอาจจะมากกว่าผมด้วย

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #875 โดย 0834368962
บทที่ 8. แผนฟื้นฟูหนี้สินของครอบครัวผม

ตอนแรกยังไม่รู้จะเริ่มแก้ปัญหาอย่างไรดี ลองตั้งกระทู้ถามเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อนๆก็แนะนำให้บอกความจริงให้กับคนรอบข้าง ทั้งพ่อแม่ และแฟนทราบ ตอนแรกกลัวครับ กลัวว่าจะต้องทำแบบนี้มานานก่อนหน้านี้แล้วครับ พยายามหนีปัญหา แต่สุดท้ายก็ต้องมาถึงจุดนี้อยู่ดี ถ้าตัดสินใจบอกปัญหาแฟนตอนนั้นตอนที่หนี่ที่แฟนไม่ทราบตอนที่มีแค่ 3 แสนปัญหาอาจไม่หนักเท่านี้ ทำใจอยู่หลายวันมากครับ กลัวจริงๆ แต่ก็ต้องตัดสินใจทำเพราะปัญหามันเกินกว่าที่ผมจะแก้ไขได้แล้ว

พอถึงวันที่ตัดสินใจบอก วันนั้นเป็นวันศุกร์กลับเดินทางจากระยองกลับกรุงเทพ (ผมจะต้องกลับไปกรุงเทพทุกอาทิตย์ โดยจะนั่งรถทัวร์กลับ ไม่เอารถไปเองเพราะต้องการลดรายจ่ายค่าน้ำมัน) โดยไปถึงบ้านถ้าจำไม่ผิด ประมาณ 3 ทุ่ม ลูกสาวอยู่รอครับ เค้าจะอยู่รอพ่อทุกวันศุกร์ ให้พ่อพาเค้าเข้านอน... ผมก็พาลูกเข้านอนตามปกติ กะว่าให้ลูกนอนก่อนดีกว่า ไม่อยากให้ลูกเห็น คือผมกลัวว่าแฟนผมจะโวยวาย.. พอลูกนอน คำแรกพูดยากมากครับ เดินผ่านแฟนหลายครั้ง ทำท่าจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก แฟนถามว่าเป็นอะไร ผมก็เลยตัดสินใจพูดออกไป พอคำแรกพูดออกไปคราวนี้พูดหมดเลยครับ เริ่มจากบอกปัญหาที่มีอยู่ตอนนี้ สาเหตุที่เกิดปัญหา ขอโทษเค้า และก็บอกแนวทางที่จะใช้แก้ปัญหา (ช่วงนั้นอ่านกระทู้เยอะมากครับ เลยมองเห็นแนวทางการแก้ปัญหา) รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เหตุการณ์กลับตรงข้ามครับ แฟนผมเค้าฟังอย่างเงียบๆ ผมก็กอดเค้าขอโทษเค้า บอกว่าผมอยากกลับตัวจริงๆ ผมไม่อยากอยู่โดยไม่มีเค้านะ... เค้าก็เลยบอกว่าให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยครับ โล่งมากๆๆๆ

นอกจากแฟนผมแล้ว ผมก็โทรไปบอกพ่อแม่ พี่น้อง หมดเลยครับ ว่าผมมีปัญหาแบบนี้ แล้วจะแก้ปัญหาแบบนี้ เพราะแบบนี้ ซึ่งอาจมีผลกระทบแบบนี้

ตอนแรกพ่อแม่ผมท่านฟัง ท่านก็เครียดครับ ท่านก็เหมือนพ่อแม่คนอื่นคือเป็นห่วงแล้วอยากช่วยลูก แต่ท่านตอนนี้ก็แค่พออยู่พอใช้เท่านั้น ผมก็บอกพ่อแม่ว่าไม่ต้องห่วงผมขอแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ผมเองต่างหากที่รู้สึกผิดที่ไม่เคยช่วยเหลือพ่อแม่เลยตั้งแต่จบมา ผมขอโทษท่าน บอกว่าผมจะกลับตัวใหม่จะทำตัวให้ดีๆ ผมก็เอาข้อมูลให้เวปนี้เล่าให้ท่านฟัง

บทที่ 8. ยังมีต่อนะครับ เด๋วมาต่อให้ตอนเที่ยง..

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #876 โดย 0834368962
บทที่ 8. แผนฟื้นฟูหนี้สินของครอบครัวผม (ต่อ)

หลังจากบอกความจริงให้คนรอบข้างทราบ ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก จากที่อ่านกระทู้ในเวปมาเยอะมากๆ เหมือนอย่างที่คุณหมูสมิงอ่าน แต่ผมอ่านไม่เยอะเท่าคุณหมูสมิง กระทู้อะไรที่ผมคิดว่าน่ามีประโยชน์ผมจะ Copy เก็บไว้

ขั้นแรกผมก็มาจัดทำรายรับ-รายจ่ายที่จำเป็นของครอบครับ ตอนแรกก็ประมาณรายจ่ายที่จำเป็นคร่าวๆ เพราะไม่เคยทำบัญชีครอบครัวมาก่อน เลยได้แต่ประมาณ ตอนนั้นประมาณว่าจะมีเงินเหลือสำหรับชำระหนี้ในแต่ละเดือน 3 หมื่นกว่า เกือบ 4 หมื่น

หลังจากนั้นก็มาจัดทำบัญชีหนี้สิน โดยนอกจากแบ่งเป็นประเภท (บัตรเครดิต/สินเชื่อ/เช่าซื้อ/นอกระบบ) แล้วผมยังแบ่งออกว่าอันไหนเป็นของผม อันไหนเป็นของแฟนผม

ขั้นต่อมาผมกับแฟนก็มาคุยกัน เนื่องจากหนี้สินส่วนใหญ่เป็นของผมซึ่งมียอดประมาณ 8 แสนกว่า ส่วนของแฟนผมมียอดประมาณ 3 แสนกว่า ก็เลยตัดสินใจว่าจะใช้ First way out ควบคู่กับ Second way out (แต่ละคนอาจเงื่อนไขต่างกัน การแก้ปัญหาต้องดูที่เงื่อนไขของแต่ละคน) โดยผมจำเป็นต้องหยุดจ่ายหนี้สินของผมทั้งหมด และส่วนหนี้สินของแฟนยังชำระต่อ เพียงแต่ว่านำเงินสดส่วนที่เหลือจากหยุดชำระหนี้ของผมมารีบเคลียร์หนี้ของ แฟนผมให้เร็วที่สุด

เหตุผลคือ ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากตัวผมเป็นสาเหตุใหญ่ ผมเลยไม่อยากให้มีผลกระทบไปถึงตัวแฟนผมและลูก แค่เค้าให้โอกาสผม ผมก็ดีใจมากแล้ว อีกอย่างหนี้สินของแฟนผมไม่มากเท่าไหร่ และในอนาคตหากจำเป็นต้องทำธุระกรรมกับแบงค์ยังพอสามารถทำได้ โดยให้แฟนเป็นผู้ทำ ส่วนผมขอใช้จ่ายเป็นเงินสด และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแบงค์อีก

คราวนี้ผมก็ถึงคราวต้องเตรียมตัวรับมือพวกทวงหนี้โหด ผมก็เลยทำดังนี้
- บอกหัวหน้า บอกน้องที่ Office เผื่อพวกทวงหนี้โทรมาตามหนี้จะได้ไม่ต้องหลบ คือไม่สนแล้วครับเรื่องหน้าตา เป้าหมายของผมคือต้องเคลียร์หนี้สินให้หมด บางคนพอบอกว่าเราเป็นหนี้มากขนาดนี้ ก็เปลี่ยนไป แต่ผมไม่สนใจครับ เอาครอบครัวรอดก่อน เค้าจะนินทาอะไรก็ช่างเค้า ที่สำคัญต้องอย่าให้เรื่องหนี้ทำให้งานเสียเท่านั้นเอง
- อ่านกระทู้เพิ่มเติม เพื่อสร้างเกราะป้องกันตัวเอง ปกติก็จะเข้าอ่านกระทู้ทุกวัน ผมทำงานเป็นระดับ manager ปกติก็จะให้น้องเค้าออกตรวจสอบ แล้วผมก็ค่อยมาทำหน้าที่ Review งานตรวจของน้อง เลยสามารถอ่านกระทู้ได้บ่อย...

นอกจากนี้ผมยังทำบัญชีครัวเรือนจริงๆว่าแต่ละเดือนเหลือเงินเท่าไหร่ หนี้สินลดลงเท่าไหร่... จากการที่เก็บตัวเลขค่าใช้จ่ายจริงๆ ทำให้ผมทราบว่าที่ประมาณว่าจะมีเงินเหลือชำระหนี้ในแต่ละเดือนตอนแรก คลาดเคลื่อนไปมาก โดยผมเหลือเงินสดที่ชำระหนี้จริงๆในแต่ละเดือนแค่ 2 หมื่นกว่าๆ เท่านั้นเอง ต่างจากที่ประมาณตอนแรกไว้ 4 หมื่น เพราะมีรายจ่ายเบ็ดเตล็ดเข้ามาเยอะ เราไม่เคยสนใจ แต่พอมาเก็บตัวเลขจะเห็นชัดเจนเลยครับ

ตอนนี้หยุดจ่ายมา 4-5 เดือนแล้ว หนี้สินของแฟนก็ลดลงไปบางส่วนแล้วเหมือนกัน ส่วนของผมก็รอหมายศาล คิดว่าคงไม่ประนอม/ปรับโครงสร้างหนี้ เพราะไม่อยากให้หนี้ยืดอายุออกไป ไม่อยากให้ลูกสาวโตขึ้นพร้อมหนี้ที่พ่อสร้างไว้ จากแผนฟื้นฟูหนี้สินที่ผมกะคร่าวๆไว้ หนี้น่าจะหมดภายใน 4 - 5 ปี.. ตั้งเป้าไว้จะได้มีกำลังใจ

ผมเริ่มก้าวเดินก้าวแรกแล้ว และเพื่อนๆหละครับเริ่มเดินกันหรือยัง หากเราไม่เริ่มเดินก้าวแรก เราไม่มีทางถึงจุดหมายแน่นอน แต่ถึงเดินก้าวแรกแล้ว ก็ต้องมุ่งหน้าเดินต่อไป ช้าเร็วอย่างไรต้องถึงจุดหมายแน่นอน

เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ

ขอบคุณเวปนี้ที่ทำให้ผมมีทางออก ขอบคุณมากๆๆๆ ครับ

จบแล้วนะครับ เด๋วผ่านไปซัก 2 ปีผมจะมาสรุปให้ฟังใหม่ว่าหนี้ผมลดลงไปแค่ไหนแล้วบ้าง

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #877 โดย 0834368962
Update หนี้หลังจากหยุดจ่าย 8 เดือน

หลัง จากเริ่มตัดสินใจหยุดจ่ายเดือน เม.ย 50 ตอนนี้เวลาก็ผ่านมา 8 เดือนแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมากเลยครับ อาจเพราะต้องคอยรับมือกับพวกทวงหนี้มั๊งครับก็เลยรู้สึกว่าเวลาในแต่ละวัน ผ่านไปเร็วมาก

ตอนที่ผมเริ่มหยุดจ่าย ตอนนั้นหนี้ของครอบครัวผมประมาณ 1.2 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ของภรรยาประมาณ 3 แสน และหนี้ของผมประมาณ 9 แสนบาท... ช่วงนั้นจ่ายขั้นต่ำไม่ไหวแล้ว ยิ่งหมุนเงินจ่ายหนี้ยิ่งเพิ่ม

ช่วงที่ยากที่สุดของผม คือช่วงที่ต้องบอกความจริงกับภรรยาเรื่องภาระหนี้สิน แต่ก็ได้กำลังใจจากเพื่อนๆในเวปทำให้ผ่านช่วงนั้นไปได้ ซึ่งก็โชคดีที่ภรรยาให้โอกาสผมอีกครั้ง นอกจากบอกภรรยาแล้วผมบอกคนรอบข้างผมหมด ทั้ง พ่อแม่ พี่ น้อง หัวหน้า และน้องๆในที่ทำงาน คือคิดอยู่แล้วว่าถ้าจะใช้ Second way out ยังงัยๆคนรอบข้างต้องทราบแน่นอน ให้ทราบจากปากผมเองดีกว่าให้ทราบจากปากพวกทวงหนี้

หลังจากนั้นก็เข้ามาเก็บข้อมูลในเวปนี้ แล้วปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสมกับครอบครัวผม (แต่ละคนมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน ดังนั้นต้องปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวเองก่อน แนวทางของคนคนนึงอาจไม่เหมาะกับคนอีกคนนึง) โดยกำหนดออกมาเป็นแผนการฟื้นฟูหนี้สินของครอบครัว ผมคุยกับภรรยาว่าจะต้องพยายามให้หมดหนี้สินให้ได้ภายใน 3 ปี ไม่อยากให้ลูกสาวโตขึ้นมาพร้อมกับหนี้สินที่ผมก่อขึ้น

แผนฟื้นฟูฯ ของผม คือใช้ First way out ร่วมกับ Second way out โดยปัญหาหนี้ของภรรยาผมใช้ First way out ส่วนปัญหาหนี้ของผมใช้ Second way out เนื่องจากเมื่อมองดูแล้วหนี้สินในส่วนของผมมากกว่าภรรยามาก (หนี้ของผมประมาณ 75% ของหนี้ทั้งหมด) และอีกอย่างคือไม่อยากให้ภรรยาต้องรับมือพวกทวงหนี้ด้วย

ผมกับภรรยาจะตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องเหลือเงินสำหรับชำระหนี้ในแต่ละเดือน 30,000 บาท ทุกเดือนก็จะมีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของครอบครัว เพื่อจะได้ดูว่าในแต่ละเดือนเหลือเงินสำหรับชำระหนี้จริงๆเท่าไหร่ ถ้าเหลือไม่ถึงเป้าหมายเนื่องมาจากอะไร ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่สามารถเหลือได้ตามเป้าหมายทุกเดือน เช่นบางเดือนต้องจ่ายค่าเทอมลูก บางเดือนก็มีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่นพวกค่าซ่อมรถ เป็นต้น

ตั้งแต่หยุดจ่ายมาได้ 8 เดือน หนี้สินของภรรยาผมลดลงไปประมาณ 1.2 แสนบาท (เงิน 3 หมื่นที่เอาไปชำระหนี้ของภรรยาผม โดนเอาไปตัดต้นประมาณ 2 หมื่น เป็นดอกเบี้ยประมาณ 1 หมื่น)

ส่วนหนี้สินของผมตอนนี้ได้รับหมายศาล และไปขึ้นศาลแล้ว 1 รายคือรายของ Citibank หยุดจ่ายเดือน 4/50 ได้รับหมายศาลเดือน 8/50 ขึ้นศาลเดือน 11/50 ขอเลื่อนนัดศาลไปเดือน 1/51 เพราะเดือน 12/50 จะมีโบนัสกะว่าจะเอาเงินโบนัสไป Hair Cut (ยอดหนี้ตอนที่หยุดชำระ 5.7 หมื่นบาท ยอดที่ฟ้อง 6.1 หมื่นบาท) ส่วนหนี้ตัวอื่นๆยังไม่ได้รับหมายศาล

ผมตั้งใจว่าจะไม่ประนอมหนี้ไม่ว่าเจ้าไหนๆก็ตาม เพราะไม่อยากให้หนี้ยืดออกไป อยากให้หมดหนี้เร็วๆ ยกเว้นรายเดียวคือไทยพาณิชย์ที่ผมจำเป็นต้องประนอมหนี้ เนื่องจากไทยพาณิชย์เป็นแบงค์ที่เงินเดือนผมเข้า (กลัวโดนอายัดเงินในบัญชี)

สำหรับการรับมือพวกทวงหนี้ ตอนช่วงแรกๆก็เหมือนที่เพื่อนๆในเวปโดนคือโดนทวงกระหน่ำ บางวันโทรเป็น 20-30 สายก็มี ซึ่งผมก็พยายามรับสายทุกครั้งที่รับได้ แนวทางการรับมือพวกทวงหนี้ของผมจะพยายามไม่ตอบโต้ปล่อยให้พวกนั้นมันพูดไป เรื่อยๆเด๋วมันก็วางไปเอง นอกจากโทรหาผมแล้วพวกนี้ยังโทรหาคนรอบข้างผมด้วย ทั้ง พ่อแม่ พี่ น้อง แฟนผม แต่ผมอธิบายให้ทุกคนทราบและเข้าใจหมดแล้ว เค้าก็เลยไม่กลัว อย่างพ่อแม่ผมขนาดอยู่ต่างจังหวัด พวกนั้นมันยังโทรไปทวงหนี้กับท่าน ก็เลยโดนท่านด่ากลับ ตอนหลังๆมันเลยไม่กล้าโทรไปทวงที่พ่อแม่ผมอีกเลย

ตอนนี้ผ่านไป 8 เดือน การทวงหนี้เริ่มซาลง เริ่มมีการเสนอส่วนลดเข้ามาบ้าง 30% บ้าง 35% บ้าง 40% บ้าง แต่ผมก็ยังไม่ตกลงปิด คาดว่าประมาณกลางปีถึงปลายปีหน้าถึงค่อยเริ่มเคลียร์หนี้ของผม ตอนนี้ต้องพยายามเคลียรืหนี้ของภรรยาให้ลดลงก่อน

ที่เขียนเล่าเพราะอยากบอกเพื่อนๆว่า แนวทาง Second way out ในเวปสามารถใช้แก้ปัญหาได้จริงๆ หนี้ของครอบครัวผมก็เริ่มลดลงแล้ว จากแต่ก่อนที่พยายามหมุนเงินจ่ายขั้นต่ำ หนี้สินก็มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้รู้สึกสบายใจเหมือนมองเห็นฝั่งจากที่แต่ก่อนเหมือนลอยเคว้งคว้างอยู่ กลางทะเล มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำ เหมือนชีวิตไม่มีทางออก...

สู้ๆๆ กันทุกคนนะครับ สู้ด้วยกัน ซักวันต้องหมดหนี้แน่นอน

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #878 โดย 0834368962
เล่าเรื่องหนี้ของผม หลังจากหยุดจ่ายครบ 1 ปี

ถึง วันสงกรานต์อีกครั้ง ก็ครบรอบ 1 ปีนับตั้งแต่ผมหยุดจ่าย ปีนี้ต่างจากปีที่แล้วมาก ปีที่แล้วยังเครียดอยู่เลย แต่ปีนี้สบายใจมากๆ ใช้เวลาในวันหยุดอยู่กับลูกเมีย ไม่ต้องมาเครียดเรื่องหมุนเงินจ่ายขั้นต่ำเหมือนปีก่อน

ก็เลยถือโอกาสขอเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆฟัง เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับบางคน

สาเหตุของหนี้ไม่ขอพูดถึงแล้วกันนะครับ ตอนนั้นหนี้ของครอบครัวผมประมาณ 1.2 ล้านบาท เป็นหนี้ของผมประมาณ 9 แสน เป็นหนี้ของภรรยาผม 3 แสน ตอนนั้นก็เหมือนเพื่อนๆทุกท่านจ่ายไม่ไหวจริงๆ หนี้ 1.2 ล้าน ถ้าจ่ายขั้นต่ำก็ต้องจ่ายประมาณเดือนละ 1 แสน ไม่มีทางที่จ่ายไหวแน่นอน

เครียดมากๆ พอดีอ่านในเวปผู้จัดการ มีข่าวของชมรมหนี้บัตรเครดิตฯ ก็ลองเข้ามาอ่านดู ช่วงแรกเข้ามาอ่านกระทู้เก่าๆเยอะมาก (สมัยนั้นยังไม่มีกระทู้ปักหมุดที่รวบรวมทุกขั้นตอนแบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน) ตอนนั้นทำอย่างเดียวคือ อ่าน อ่าน อ่าน อ่าน อ่าน หลังจากอ่านก็คิด วิเคราะห์เหตุผล ความเป็นไปได้ เสียดายกระทู้เก่าๆที่ดีมากๆที่หายไปตอนช่วงที่เวปล่ม หลังจากอ่านแล้วคิดอย่างดี ก็แน่ใจว่าทางรอดทางเดียวของผมคือ Second way out

แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของผมคือ แฟนผมไม่ทราบเรื่องหนี้ของผม... ไม่กล้าบอกแฟน กลัวเค้าโกรธและเลิกกับเรา ไม่รู้จะทำยังงัย ก็เลยตั้งกระทู้แรก ระบายความรู้สึกของเรา ตอนแรกไม่คิดว่าจะมีคนมาตอบ แต่ปรากฏว่ามีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ เข้ามาให้กำลังใจกันเยอะมาก คนแรกที่เข้ามาตอบกระทู้ผมคือ คุณคนเลวของแบงค์ (ยัง Copy กระทู้นี้เก็บไว้อยู่เลย)

ก็เลยตัดสินใจว่าเป็นงัยเป็นกัน ต้องบอกแฟน พอบอกแฟนแล้วโชคดีที่เค้าให้โอกาสเรา ผมก็เลยอธิบายให้เค้าฟังแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ที่ผมจะใช้ ข้อมูลที่จำเป็นต่างๆที่เค้าจำเป็นต้องทราบ ผลกระทบต่างๆ...

แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ของผม ผมมองปัญหาหนี้เป็นภาพรวมของครอบครัว ผมตัดสินใจหยุดจ่ายหนี้ของผม แต่ของภรรยายังจ่ายขั้นต่ำตามปกติ ผมมีเหตุผลหลายอย่างดังนี้
1. หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ของผม ของภรรยาผมเป็นแค่ส่วนน้อย ดังนั้นตัวปัญหาจริงๆคือตัวหนี้ของผม (หนี้ผม 9 แสน ภรรยาผม 3 แสนต่างกันประมาณ 3 เท่า)
2. หนี้ส่วนใหญ่ผมเป็นคนก่อขึ้น ผมอยากเป็นคนที่รับผลจากการกระทำของผม
3. หากหยุดจ่ายแค่ 1 คน อีก 1 คนยังมีประวัติดี ต่อไปในอนาคตยังพอที่จะสามารถทำธุรกรรมกับแบงค์ได้
4. ตอนที่ผมไปขอภรรยาแต่งงาน ผมรับปากกับพ่อเค้าว่าจะดูแลลูกสาวเค้าไม่ให้ลำบากเด็ดขาด

รู้นะครับว่าการแก้ปัญหาหนี้โดย 1 คนจ่ายปกติ อีก 1 คนหยุดจ่าย ทำให้แก้ปัญหาหนี้ได้ช้าลง ถ้าหยุดจ่ายทั้ง 2 คนทันทีแล้วเก็บเงินก้อนทำ Hair cut จะแก้ปัญหาหนี้ได้เร็วขึ้น แต่หลังจากคิดหน้าคิดหลังดูแล้ว ผมยอมรับผลเสียของมัน แต่ละคนปัจจัยแวดล้อมไม่เหมือนกัน การตัดสินใจไม่เหมือนกัน หรือเห็นไม่เหมือนกันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ขอให้มองทุกแง่ทุกมุมก่อนตัดสินใจเท่านั้น

เมื่อบอกแฟนเสร็จ คราวนี้ก็ถึงคราวบอกคนรอบข้าง คราวนี้ง่ายกว่าตอนบอกแฟนเยอะครับ ผมก็ไล่บอกตั้งแต่ พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนสนิทบางคน หัวหน้า น้องที่ทำงาน... คือจากอ่านกระทู้ แน่ใจอยู่แล้วครับว่าถ้าหยุดจ่ายคนเหล่านี้ต้องรู้แน่นอน ให้รู้จากปากเราเองดีกว่าให้รู้จากปากพวกทวงหนี้ การบอกก็ไม่ได้แค่บอกปัญหาหนี้ และแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ของเราเท่านั้น ผมยังสร้างภูมิคุ้มกันพวกทวงหนี้ให้เค้าด้วย

หลังจากบอกเรื่องหนี้ให้แฟน และคนรอบข้างรู้แล้ว ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก สิ่งต่อมาที่ทำก็คือ ทำบัญชีรับ-จ่ายของครอบครัว เพื่อที่จะได้ทราบว่าครอบครัวมีรายรับเท่าไหร่ มีรายจ่ายอะไร เท่าไหร่บ้าง และมีเงินเหลือสำหรับใช้แก้ปัญหาหนี้เท่าไหร่

ข้อดีของการทำบัญชีรับ-จ่ายของครอบครัว คือคุณจะได้เห็นตัวเลขว่าคุณมีกระแสเงินสดเหลือในแต่ละเดือนเท่าไหร่ มีรายจ่ายอะไรบ้าง จำเป็นหรือเปล่า ลดรายจ่ายตัวไหนได้บ้างหรือเปล่า และอีกอย่างคือ คุณสามารถใช้ข้อมูลตัวนี้เป็นเป้าหมายได้ว่า คุณต้องเก็บเงินให้ได้เท่าไหร่ในแต่ละเดือน การที่มีเป้าหมายเป็นการควบคุมตัวเราเอง แต่ไม่ใช่ว่าเหลือต่ำกว่าเป้าหมายไม่ได้ หากมีรายจ่ายที่จำเป็นเข้ามา ต้องใช้ก็ต้องใช้ แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้เรารู้ว่าเงินเราไม่ได้หายไปกับค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

อีกอย่างนึง คืออยากแนะนำว่า หากคิดจะหยุดจ่าย ให้หยุดจ่ายทุกตัวทันทียกเว้นบางตัวที่จำเป็นต้องจ่ายต่อ เช่น เช่าซื้อ หรือรายที่เจ้าหนี้เป็นสถาบันการเงินเดียวกับแบงค์ที่เงินเดือนเข้า บางคนอาจกลัวว่าหยุดจ่ายทุกตัวจะรับมือทวงหนี้ทุกรายไม่ไหว จริงครับอาจเหนื่อยกับการรับมือพวกทวงหนี้หน่อย แต่การหยุดจ่ายทุกรายพร้อมกันทำให้คุณเก็บเงินก้อนเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น เงินก้อนจำเป็นต่อการ Hair cut นะครับ มีเงินก้อนก็มีอำนาจต่อรอง....

ตอนเริ่มหยุดจ่าย ก็เหมือนกับทุกคนคือโดนกระหน่ำ ผมไม่ค่อยถนัดการโต้ตอบพวกทวงหนี้เท่าไหร่ จะใช้วิธีนิ่งสยบเคลื่อนไหวมากกว่า ปล่อยให้มันพูดไป พอเมื่อยปากหรือเหนื่อยก็วางไปเอง จะไม่พยายามโต้ตอบให้เสียเวลา เป้าหมายต่างกันยังงัยก็คุยกันไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว พวกทวงหนี้อยากได้เงินคืน เราไม่เงินคืน คุยกันไม่มีวันจบอยู่แล้ว เงียบเฉยดีกว่า

อยากแนะนำเพื่อนๆอย่างนึง อยากให้เพื่อนๆมุ่งมั่น แน่วแน่ และมั่นคง คนไทยส่วนใหญ่ขาดความมุ่งมั่นในการเดินทางเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ยกตัวอย่างเช่นอยากลดความอ้วน ตอนช่วงแรกๆก็มุ่งมั่นมากจะไปวิ่งทุกวัน พอผ่านไปซักอาทิตย์ความมุ่งมั่นเริ่มลดลงเหลือไปวิ่ง 3 วันครั้ง พอผ่านไปอีกอาทิตย์คราวนี้เหลือไปวิ่งแค่เดือนละหนอะไรแบบนี้

พวกเราก็เหมือนกัน เป้าหมายของเราคือแก้ปัญหาหนี้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าแนวทางนี้แก้ปัญหาหนี้ได้จริง ก็ขอให้มุ่งมั่นเดินไปให้สุดทาง อย่าเดินย้อนไปย้อนมา

อีกอย่างขอให้มั่นใจในข้อมูลที่เรามีอยู่ ไม่ใช่พอเจ้าหนี้ขู่มาทีก็กลัวที ประมาณว่าซักไม่แน่ใจแล้วว่าที่รู้มาใช่หรือเปล่า แบบนี้รับรองคุณโดนเจ้าหนี้ขู่ตลอด ชีวิตคุณจะเครียด อย่างผมเวลาเจ้าหนี้ขู่มา เรารู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ก็ฟังแบบขำขำ เราไม่ใช่เป็นตาสีตาสาที่ไม่รู้กฏหมายอะไรเลย

พอพวกทวงหนี้มันทำผมไม่ได้ คราวนี้มันเริ่มลามไปหาคนรอบข้างผม มันโทรไปตามพ่อแม่ผมที่ต่างจังหวัด แต่โชคดีที่ผมสร้างภูมิคุ้มกันให้ท่านไว้ พอมันโทรไปเจอพ่อแม่ผมด่าที หายไปเลยครับ มันบอกพ่อแม่ผมว่าผมเป็นหนี้พ่อแม่ผมต้องรับผิดชอบ แม่ผมเลยตอบมันกลับไปว่าตอนที่ผมไปสร้างหนี้ไม่เห็นมาบอกอะไรฉันเลย ตอนที่มันไม่จ่ายจะมาบอกฉันทำไม ขืนมารังควาญมากๆเจอกันที่สน. คนรอบข้างผมโดนหมดหละครับ แฟนผม พ่อ แม่ พี่ น้อง แม้แต่ญาติที่ไม่ได้ติดต่อนานมากแล้ว มันยังโทรไปตามที่เค้าเลย สุดยอดมาก ผมก็เลยบอกญาติคนนั้นไปว่าหยุดจ่ายเพราะมันคิดดอกเบี้ยผิดกฏหมาย อยากให้ศาลตัดสิน

พอกระหน่ำตามหนี้ไปได้ซักพัก คราวนี้ก็มาพยายามให้ทำประนอมหนี้ ตอนที่ผมวางแผนการแก้ปัญหาหนี้ไว้ ผมตัดสินใจไว้ว่าจะไม่ประนอมหนี้เด็ดขาดไม่ว่าเจ้าไหน ยกเว้น ไทยพาณิชย์ (เป็นแบงค์ที่เงินเดือนเข้า) เหตุผลที่ไม่ทำประนอมหนี้คือ ไม่อยากให้หนี้ยืดระยะเวลาออกไป ลองไปอ่านข้อดี-ข้อเสียของการประนอมหนี้ที่ พี่ภรณ์หทัยเขียนไว้ในข้อมูลเพื่อการปลดหนี้ดู.... หลังจากตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าข้อเสนอจะดีแค่ไหน หรือจะตื้อแค่ไหน ก็ไม่ทำ..

4-5 เดือนแรกหนักมากครับ หลังจากนั้นการทวงหนี้เริ่มถี่น้อยลง

พอหยุดจ่ายได้ 4 เดือน หมายศาลฉบับแรกก็มาถึงเป็นบัตรเครดิตซิตี้แบงค์ ได้รับหมายศาลเดือน 8 (จำได้ว่ามาช่วงใกล้ๆวันเกิดผม) ศาลท่านนัดไปขึ้นศาลเดือน 11...

พอครบกำหนดขึ้นศาลก็ไปตามนัดศาล ก็ไปถามทนายโจทก์ว่ามีข้อเสนออะไรบ้าง ทนายโจทก์ก็บอกว่ามีข้อเสนอ 2 อย่างคือผ่อนไม่มีดอกเบี้ย 2 ปี ขั้นต่ำเดือนละ 2 พันบาท หรือถ้าจ่ายปิดบัญชีลดให้ 40% ถามทนายว่าลดให้มากกว่านี้ได้มั้ย ทนายมันบอกว่าไม่ได้ยังงัยก็ไม่ได้ ก็เลยบอกทนายว่าจะขอเลื่อนศาล 1 นัด ทนายมันบอกว่าขอเลื่อนได้แต่ต้องไม่เกินเดือน 12 ผมก็ฟังแล้วเฉยๆ พอศาลเรียกก็ไปร้องต่อศาลขอเลื่อนเพื่อไปเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้อีกครั้ง ศาลท่านให้เลื่อนถึงเดือน 2 เลย... พอใกล้ครบกำหนดขึ้นศาลอีกครั้ง ผมก็โทรไปเจรจาดู ทางแบงค์เปิดส่วนลดมาให้ที่ 50% เจรจาต่อรองไปต่อรองมาปิดได้ที่ 60% ....

ตอนช่วงปลายปีอย่างที่เพื่อนๆทราบกันดีว่าเป็นช่วงลดกระหน่ำของแบงค์ ผมก็ปิดของซิตี้แบงค์ Personal Loan กับของ Standard ไปได้ส่วนลดประมาณ 70% ความจริงก็ไม่มีเงินก้อนพอหรอกครับ แต่ไปปรึกษาแม่ แม่ผมก็ไปยืมญาติมาให้ บางส่วนก็ขอยืมเพื่อนมา แล้วก็ไปใช้คืนทีหลัง

หลังจาก 1 ปีผ่านไป หนี้ผม 9 แสน ผม Hair cut ไปได้แล้วประมาณ 3 แสนโดยใช้เงินประมาณ 1 แสน ขณะที่หนี้ของแฟนผม 3 แสน ยอดเงินต้นลดลงไปประมาณ 1 แสน

พอ Hair cut ได้ ตอนนี้ทั้งแฟนผม และพ่อแม่ผม ที่ตอนแรกไม่ค่อยแน่ใจแนวทางของผม ตอนนี้เปลี่ยนมาสนับสนุนให้แก้ไขด้วยวิธีการนี้ คือเมื่อเห็นผล เค้าก็เห็นว่ามันแก้ปัญหาหนี้ได้จริงๆ....

Second way out แก้ปัญหาหนี้ได้จริง อย่างหนี้ของครอบครัวผมถ้าจ่ายปกติอยู่ต้องเสียดอกเบี้ยอย่างน้อยปีละ 2 แสน ซึ่งไม่มีทางเลยที่หนี้จะลดลง แต่พอใช้ Second way out แล้วตอนนี้หนี้สินเริ่มลดลง ผมตั้งเป้าว่าหนี้สินของครอบครัวผมต้องหมดภายใน 3 ปี

ตอนนี้หมายศาลฉบับที่ 2 ก็มาแล้วหลังจากหยุดจ่าย 11 เดือน หมายศาลมาเดือน 3 ศาลท่านนัดไปขึ้นศาลเดือน 5... เป็นหมายศาลของควิกแคซ... ตอนนี้ก็กำลังเตรียมตัวอยู่ครับ ยอดหนี้ 1.4 แสน ตั้งเป้าว่าจะขอ Hair Cut ซัก 6 หมื่น หากไม่ได้ก็คิดว่าจะลองสู้คดีดู...

เขียนมาซักยาว หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง ไม่มากก็น้อย

เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ๆๆ ซักวันต้องหมดหนี้

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Hathaichanok05

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #879 โดย 0834368962
ไปศาลคดีนครหลวงไทย

ขอ แชร์ประสบการณ์การไปศาลนะครับ ช่วงนี้ผมขึ้นศาลบ่อยมากเลย เมื่อวันที่ 9 กย. ก็เพิ่งไปขึ้นศาลคดีไทยธนาคารมา เมื่อวานนี้ (วันที่ 25 กย.) ก็ต้องไปขึ้นศาลคดีนครหลวงไทย แล้วเดี๋ยววันที่ 7 ตค. ก็ต้องไปขึ้นศาลคดีอีซี่บาย...

เมื่อวานนี้ผมต้องไปขึ้นศาลแขวงธนบุรี ศาลท่านนัด 13.30 น. ผมก็ออกจากบ้านตั้งแต่ 11.00 น. ไปหาข้าวกิน แล้วก็เผื่อเวลารอรถด้วย กะว่าจะขึ้นรถเมลล์ฟรีเพื่อประชาชนไป จะได้ลดรายจ่ายลง ไปถึงศาลตอนประมาณ 12.30 น. หลังจากนั้นก็เดินไปดูรายชื่อที่บอร์ด ต้องไปขึ้นห้องพิจารณาคดีที่ 7 พอมีเวลาเหลือก็เดินเล่นในศาล พอใกล้ๆถึงเวลา 13.30 ก็เดินขึ้นไปที่ห้องพิจารณาคดี

พอเข้าไปในห้องพิจารณาคดี ก็เดินไปถามหาทนายของนครหลวงไทย วันนั้นคดีของนครหลวงไทยใช้ทนายของสำนักงานกฏหมาย 2 แห่ง พอทราบว่าทนายไหนดูคดีของผม ผมก็เข้าไปคุยเจรจา ยอดหนี้ของผมตอนที่หยุดจ่ายประมาณ 3 หมื่น หยุดจ่ายจนถึงฟ้องประมาณ 1 ปี 3 เดือน ยอดที่เจ้าหนี้ฟ้อง 3.6 หมื่น... ผมก็เข้าไปถามว่ามีข้อเสนออะไรบ้าง ทนายก็บอกว่าให้ผ่อนให้หมดภายใน 2 ปี โดยเสียดอกเบี้ยร้อยละ 12 จากยอดหนี้ตอนที่หยุดจ่าย (ยอด 3 หมื่น) ผมก็แกล้งถามว่าถ้าปิดจะปิดด้วยยอด 2.5 หมื่นได้มั้ย ความจริงผมก็รู้อยู่ในใจแล้วว่านครหลวงไทยให้ส่วนลดไม่เยอะ และจริงๆในใจผมตั้งใจว่าวันนี้จะมาเลื่อนนัดอยู่แล้ว พอผมแกล้งเสนอไป ทางทนายก็บอกว่าเค้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ คราวนี้เลยเข้าล็อคผม ผมเลยบอกไปว่างั้นผมขอเลื่อนนัดเพื่อเข้าไปเจรจากับแบงก์แล้วกัน

หลังจากนั้นก็รอศาลท่านขึ้นนั่งบัลลังค์ ผมตกใจมากเลย เพราะเป็นผู้พิพากษาท่านเดิมกับที่ผมเคยขึ้นมาหลายครั้ง พอถึงคิวผม ศาลท่านก็มองมาที่ผมแล้วยิ้มๆ ถามว่าจะเลื่อนหรอ ผมก็ตอบไปว่าใช่ครับ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร สรุปคือผมได้เลื่อนนัดไปเป็นวันที่ 28 พย. เสร็จเวลาประมาณ 14.00 น. ก็กลับบ้านนอน..

อีกเรื่องนึงคือวันที่ผมไปศาลวันนั้น มีพี่คนนึงเค้ามากับแฟนคดีนครหลวงไทยเหมือนกัน แต่เป็นคนละสำนักงานกับของผม ตอนแรกพี่เค้าตั้งใจว่าจะมาทำยอม แต่เหมือนคุยตกลงกันเรื่องผ่อนชำระไม่ได้ ทนายมันก็พยายามพูดให้พี่เค้ายอมให้ศาลตัดสินไปเลย ผมแนะนำพี่เค้าให้เลื่อนนัดศาลไปก่อน ทนายก็ทำทีท่าเหมือนไม่อยากให้เลื่อน แต่สรุปสุดท้ายผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพี่เค้าตัดสินใจอย่างไร เนื่องจากผมออกมาก่อน... ที่เล่านี่คือเวลาเพื่อนๆไปศาล ต้องมีเป้าหมายในใจก่อนว่าจะไปทำอะไร นอกเหนือจากนั้นต้องมีแผน 2 ด้วยว่าหากไม่ได้อย่างที่เราวางแผนไว้ครั้งแรก เราจะต้องทำอย่างไร...

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #881 โดย 0834368962
ประสบการณ์การไปศาลคดีอีซี่บาย

กรณีของผมนี้เป็นการฟ้องคดีแพ่งนะครับ (ไม่ใช่คดีผู้บริโภค)

วันนี้(7 ต.ค) ถึงกำหนดนัดต้องไปขึ้นศาลแขวงธนบุรี คดีอีซี่บาย ยอดฟ้อง 1.4 แสนบาท หลังจากเริ่มหยุดจ่ายอีซี่บายเดือน 4/50 ศาลท่านนัดตอน 13.30 น. แต่บังเอิญผมเผลอหลับไป ตื่นมาก็เกือบๆ 12.30 น. แล้วก็เลยจำเป็นต้องนั่งรถแท๊กซี่ไป ตอนแรกกะว่าจะเผื่อเวลาออกจากบ้านแล้วนั่งรถเมลล์ฟรีเพื่อประชาชนไป แต่ดันเผลอหลับไปซะนี่ หลังจากนั่งแท๊กซี่ไปก็ไปถึงศาลประมาณ 13.00 น. พอไปถึงก็รีบไปดูบอร์ด ปรากฏว่าต้องไปขึ้นห้องพิพากษาที่1

พอไปถึงห้องพิพากษา ไปพบกับคุณอาประพัฒน์ท่านพอดี คุณอาท่านก็มาคดีอีซี่บายเหมือนกัน(น่าจะเป็นเพื่อนสมาชิกในชมรม) นอกจากคุณอาแล้วก็มีจำเลยของอีซี่บายมาอีก 1 คน ของผมขอศาลท่านเลื่อนนัดไป 1 นัดเพื่อไปเจรจากับเจ้าหนี้อีกครั้ง ศาลท่านก็ให้เลื่อน แล้วก็นัดให้มาขึ้นศาลอีกครั้งวันที่ 28 พ.ย.51 ส่วนจำเลยอีกคนนึงยอมทำยอมหน้าศาล หนี้ที่ฟ้องของพี่เค้าประมาณ 1.2 แสน ตกลงจ่ายอย่างต่ำเดือนละ 1.5 พันบาท ช่วงที่จ่ายจะทำการหยุดดอกเบี้ย แต่ต้องจ่ายให้หมดภายใน 24 เดือน

พอศาลท่านอนุญาติให้เลื่อนแล้ว ไม่นานเจ้าหน้าที่ศาลก็เอาเอกสารมาให้เซ็นว่าขอเลื่อนนัดศาล เจ้าหน้าที่ศาลคนนี้ใจดีครับ...

เสร็จแล้วก็ไปทำการเช็คการเดินหมายศาลให้หมูสมิง กับเพื่อนๆอีก 5 คนที่ฝากมาเช็ค ก็เดินเข้าไปที่ชั้นล่างช่องที่ 6 แล้วก็ขอให้เจ้าหน้าที่เค้าเช็คการเดินหมายให้ (ผลการเช็คเดี๋ยวผมตอบทางเมลล์ให้ทุกคนนะครับ)

สรุปทำอะไรเสร็จทั้งหมดตอน 15.00 น.

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #882 โดย 0834368962
เล่าเรื่องวันนี้ที่ไปศาลคดีควิกแคซมา

วันนี้ ตอนเช้าตื่นสายครับ เพราะเมื่อคืนดันอยู่ดูฟุตบอล ตอนแรกกะว่าจะตื่นประมาณ 6.30 น. จะได้มีเวลานั่งรถเมลล์ไปศาล แต่ปรากฏว่าตื่นเกือบ 8.00 น. เลยรีบแต่งตัว และต้องนั่ง Taxi ไปศาล เสียค่า Taxi ไป 60 บาท ถึงศาล 8.30 น.

ไปถึงก็ไปเจอพี่วรกานต์ พี่ที่รู้จักกันในเวป พื่เค้าขอไปเป็นเพื่อนผมด้วย เพื่อที่พี่เค้าเวลาขึ้นศาลจริงจะได้ไม่ประหม่า

ผมมีธงอยู่ในใจไว้แล้วครับ ว่าจะขอเลื่อนนัดศาลไปก่อน 1 ครั้ง

อันนี้เป็น Step การขึ้นศาลของผม เพื่อนจะเอาไปทำก็ได้นะครับ ไปศาลนัดแรกผมจะไปขอเลื่อนนัดศาลก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะได้มีเวลาเก็บเงินเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆก็ 2 เดือน ในการขอศาลเลื่อนนัด ผมจะบอกเหตุผลว่าอีกประมาณ 1 เดือนจะมีก้อนเข้ามา อยากขอความเมตตาศาลขอเลื่อนนัดเพื่อไปเจรจากับโจทก์อีกครั้ง ประมาณนี้ครับ ผมจะไม่ให้เหตุผลในการเลื่อนนัดว่า เพื่อจะไปสู้คดี เพราะถ้าพูดแบบนั้น ศาลท่านจะถามว่าคุณจะสู้คดีในประเด็นใดหละ หากเราประเด็นไปไม่พร้อม หรือประเด็นที่เราบอกว่าจะสู้ศาลท่านคิดว่าเราไม่น่าสู้ได้ ศาลท่านอาจไม่ให้เราเลื่อน เช่น คดีบัตรเครดิต แต่คุณบอกว่าคุณจะสู้ในประเด็นคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฏหมายกำหนด แบบนี้ศาลท่านไม่ให้เลื่อนแน่นอน เพราะบัตรเครดิตจะคิดดอกเบี้ยค่อนข้างถูกต้อง

ในการขอเลื่อนคดี เราไม่ได้ทิ้งสิทธิในการสู้คดี ถ้าสมมุติว่าเราเลื่อนคดีแล้วยังเจรจาต่อรองไม่ได้ เรายังมีสิทธิร่างคำให้การสู้คดีแล้วมายื่นต่อศาลในนัดครั้งต่อไปได้

นั่นคือ Step ของผมครับ

พอวันนี้ผมไปถึงศาล พอเข้าห้องพิจารณาคดี ก็เจอกับทนายโจทก์ ทนายโจทก์ก็ขอเบอร์เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่โทรติดต่อเข้ามาเพื่อเจรจาต่อ รอง ยอดหนี้ที่ฟ้องของผม 1.4 แสนบาท เจ้าหน้าที่เสนอเข้ามา 2 แบบ
- ถ้ามีเงินก้อนก็จะให้ส่วนลดปิดบัญชี
- หรือจะผ่อนแบบปลอดดอกเบี้ย 2 ปี จ่ายขั้นต่ำเดือนละ 3 พันและต้องจ่ายให้หมดภายใน 2 ปี

ผ่อนผมไม่ผ่อนอยู่แล้วครับ ผมก็เลยถามว่าถ้าจะปิดบัญชีจะให้ส่วนลดได้เท่าไหร่ ตอนแรกเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องจ่ายปิดบัญชี 8 หมื่นบาท ผมบอกมีเงินไม่ถึง อย่างมากได้แค่ 6 หมื่นบาทเท่านั้น(อำครับ คือยังไม่มีเงินหรอก แต่ถ้าได้จริงก็จะไปหายืมเงินเพื่อนหรือญาติมาปิด) ต่อรองกันไปต่อรองกันมา มันลดให้เหลือ 7 หมื่น ผมก็ยืนยันอย่างเดียวว่าไม่พอ มันก็บอกว่าถ้า 6 หมื่นต้องจ่ายภายในวันนี้ ผมบอกว่าใครจะจ่ายคุณภายในวันนี้ได้ทัน... สรุปคือเจรจากันไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ ผมก็รู้แล้วว่าถ้าจะปิดจะต้องเตรียมเงินประมาณเท่าไหร่

หลังจากนั้นทนายโจทก์ก็เข้ามาถามว่าเจรจากันได้มั้ย ผมก็ตอบไปว่าเจรจาตกลงกันไม่ได้ ทนายโจทก์ก็ถามว่าจะให้ศาลพิพากษาไปเลยมั้ย ผมก็ตอบไปว่าจะขอเลื่อนนัดศาลไปก่อน (ตามธงที่ตั้งไว้ในใจ) ทนายก็บอกว่าก็แล้วแต่ศาลนะว่าจะให้เลื่อนได้เท่าไหร่ ทนายโจทก์ก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ศาลว่าผมขอเลื่อนนัด คราวนี้เจ้าหน้าที่ศาลถามขึ้นมาว่าจะเลื่อนไปนานเท่าไหร่ ผมก็ตอบไปว่า 2 เดือน เจ้าหน้าที่ศาลก็บอกว่าไม่ได้ เลื่อนได้ไม่เกิน 15 วัน ผมก็เฉยๆแล้วตอบไปว่าแล้วแต่ศาลท่านแล้วกัน

พอศาลท่านขึ้นนั่งบัลลังก์ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าผมขอเลื่อนนัด 2 เดือน ศาลท่านก็ไม่ว่าอะไร ก็ยอมให้เลื่อนตามที่ผมขอ ศาลท่านก็บอกว่าให้รีบเข้าไปคุยกับโจทก์นะ หากตกลงกันได้ก็มาทำยอมหน้าศาลก่อนนัดก็ได้

สรุปคือได้เลื่อนคดีออกไป 2 เดือน ขึ้นศาลครั้งต่อไป 30 ก.ค. ตามธงที่ตั้งไว้ในใจ ตอนนี้ก็เริ่มหายืมเงินครับ กะว่าถ้าได้ซัก 6 หมื่นจะโทรไปเจรจาปิดอีกที แต่ถ้าหาเงินไม่ได้จริงๆ ควิกแคซผมคิดว่าจะสู้คดี...

พอออกจากศาล เจ้าหน้าที่ควิกแคซโทรมาถามว่าตกลงยังงัย ผมบอกไปว่าศาลท่านให้เลื่อนไป 2 เดือน มันก็เหมือนไม่ค่อยพอใจ และบอกว่าถ้าเลื่อนต่อไปจะไม่ได้ส่วนลดแบบเดิมนะ ผมก็บอกไปว่าไม่เป็นไรครับ คิดในใจใครจะไปเชื่อ***วะ กะว่าเด๋วมีเงินในมือค่อยคุยอีกที

หลังจากนั้นก็ไปส่งพี่วรกานต์ขึ้นรถเมลล์ หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับระยอง... ฮิฮิ ตอนนี้เพิ่งมาถึงระยองเอง เข้าร้านเนตเขียนประสบการณ์ให้ฟัง เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆท่านอื่น

ลืมบอกไปอย่างนึง ตอนออกจากศาลพี่วรกานต์ก็บอกว่าศาลไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย ท่านผู้พิพากษาวันนี้ก็ดูใจดี... เพื่อนๆไม่ต้องกลัวไปขึ้นศาลนะครับ เพียงแต่ต้องทำการบ้านไว้ก่อนล่วงหน้าเท่านั้น

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #883 โดย 0834368962
มา Update ปัญหาหนี้หลังจากหยุดจ่าย ตอนปี 2009

ก่อนที่จะเจอเวปนี้ ตอนนั้นก็เหมือนเพื่อนๆทุกคนคือใช้วิธีการหมุนบัตรจ่ายขั้นต่ำ แต่ก็เอ๊ะใจว่าทำไมหนี้มันมีแต่เพิ่มขึ้นตลอด ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองมีปัญหาแน่นอนถ้ายังทำแบบเดิม แล้วจะหมดหนี้ได้ยังงัย ตอนนั้นก็พยายามคิดหาวิธีต่างๆ เคยลองโทรไปเจรจากับแบงก์ว่าขอจ่ายแค่เฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยก่อนได้มั้ย จะได้นำเงินที่เหลือจากการจ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ ไปรวบรวมแล้วไปเคลียร์เงินต้นของเจ้าหนี้ทีละราย... แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย... สรุปคือตอนนั้นคิดว่าไม่มีทางออกแน่นอน

แต่ก็โชคดี ตอนนั้นอ่านเวปผู้จัดการ แล้วมีการพูดถึงชมรมหนี้ฯ ผมก็เลยลองเข้ามาดู ผมเริ่มเข้ามาในเวปประมาณเดือน 2 ปี 2007 ตอนแรกที่เข้ามาก็กระหน่ำอ่านกระทู้เก่าๆ อ่านเสร็จก็คิดตามว่ามันใช่ทางแก้ปัญหาหนี้หรือไม่... ตอนนั้นผมยังติดปัญหาใหญ่อย่างเดียวคือไม่กล้าบอกภรรยา (หากอยากรู้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่กล้าบอก ให้ไปอ่านในกระทู้สาเหตุหนี้ของผม)

มันเหมือนกับไม่ทางเลือก เพราะถ้าขืนผมยังหมุนเงินจ่ายขั้นต่ำต่อไป มันก็ไปได้อีกไม่นาน ก็เลยตัดสินใจหยุดจ่าย ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่เข้ามาตั้งกระทู้ก่อนที่จะเริ่มหยุดจ่าย คือกระทู้ขอกำลังใจเพราะไม่กล้าบอกภรรยา ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะมีใครใส่ใจกระทู้ของเรา แต่ก็มีพี่ๆเพื่อนๆเข้ามากระทู้ให้กำลังใจผมเยอะมากเลย คนแรกที่มาตอบกระทู้ของผมคือคุณคนเลวของแบงก์ (ผมยัง copy กระทู้นั้นเก็บไว้เลยครับ)

เกริ่นมาตั้งนาน

เมื่อตัดสินใจว่าจะใช้วิธี Second way out สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องอธิบายให้คนรอบข้างฟัง สำหรับผมปัญหาใหญ่คือการบอกให้ภรรยาทราบถึงปัญหาหนี้

มันไม่มีทางเลือกครับ ถึงไม่บอกเค้าตอนนี้ ยังงัยๆเค้าก็ต้องทราบอยู่ดี อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ในที่สุดผมก็เลยตัดสินใจบอกภรรยา

เมื่อบอกภรรยาแล้ว คราวนี้ผมก็บอกคนรอบข้างหมดเลยครับ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง หัวหน้าและน้องที่ทำงาน รวมถึงเพื่อนๆที่สนิทกันด้วย

เด๋วมาต่อว่าหนี้ตอนเริ่มหยุดมีอะไรบ้าง แล้วแก้ไขอะไรไปแล้วบ้าง รอซักครู่นะครับ

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #884 โดย 0834368962
หลังจากเข้ามาศึกษาข้อ มูลในเวปนี้พอสมควร เมื่อตัดสินใจว่าจะทำแผนฟื้นฟูปัญหาหนี้สินที่เหมาะกับของครอบครัวผม กระทู้นี้เป็นแผนที่ผมเคยคิดเอาไว้เมื่อตอนที่จะเริ่มหยุดจ่าย

ผมตัดสินใจว่าหนี้ในส่วนของผมจะใช้วิธี Second way out ส่วนหนี้สินของภรรยาผมจะยังใช้วิธี First way out ผมมีเหตุผลอย่างนี้ครับ
1. มูลหนี้ของผมกับของภรรยาต่างกันมาก ของผมประมาณ 9.5 แสน (ตอนนั้นผม List หนี้สินออกมาไม่ครบ ขาดของ First Choice ที่เป็นนิติกรรมอำพราง ประมาณ 9 หมื่น) ส่วนของภรรยาผมประมาณ 3.8 แสน ซึ่งหนี้ที่เป็นสาระสำคัญคือหนี้ของผมคิดเป็นประมาณ 70% ของหนี้ทั้งหมดของครอบครัว
2. ผมไม่อยากให้ภรรยาต้องมารับปัญหาที่ผมเป็นคนก่อขึ้น

อันนี้เป็น 2 สาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้ ไม่ได้บอกนะครับว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แค่เป็นวิธีที่เหมาะกับครอบครัวของผม

เมื่อกำหนดวิธีการแก้ปัญหาหนี้และเริ่มดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ อีกสิ่งนึงที่ครอบครัวผมทำคือ บัญชีรายรับ-รายจ่าย และบัญชีหนี้สินของครอบครัว

ผมว่ามันเป็นประโยชน์นะครับ อย่างน้อยๆเราสามารถเอามาดูได้ว่า ในแต่ละเดือนเราใช้จ่ายอะไรบ้าง ถึงแม้บางเดือนจะไม่ได้ตามเป้าหมายก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยๆเราก็รู้ได้ว่าเงินในครอบครัวของเราใช้ไปในด้านไหนบ้าง หากใช้ไปในสิ่งที่จำเป็นก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น จะได้ลดลงในส่วนนั้นได้

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #885 โดย 0834368962
ผมเริ่มต้นหยุดจ่ายหนี้ทั้งหมดประมาณเดือนเมษายน 2007

สิ่งที่แรกที่ผมกังวลคือเรื่องหนี้ของ SCB เนื่องจาก SCB เป็นแบงก์ที่เงินเดือนเข้า เริ่มแรกผมก็หยุดจ่าย SCB เหมือนกัน แต่ผมจะพยายามรับสายของ SCB ตลอด พอหยุดจ่ายได้ประมาณ 3-4 เดือน ทางแบงก์ก็เสนอทำประนอมหนี้มา ผมก็เลยรีบตกลงทำประนอมหนี้ของ SCB โดยประนอมแล้วจ่ายเดือนละ 900 บาท ในความเห็นของผมนะครับ การกันไว้ดีกว่าแก้ หากผมโดนแบงก์อายัดเงินในบัญชีเงินเดือนแล้ว เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน ก็เลยจำเป็นต้องทำประนอมหนี้กับแบงก์ SCB

ส่วนหนี้สินตัวอื่นๆ ผมหยุดหมด แล้วตัดสินใจว่าจะไม่ทำประนอมหนี้แน่นอน หลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการตามหนี้เหมือนกับที่เพื่อนๆทุกคนเจอกัน

หลังจากหยุดจ่ายได้ 4 เดือน หมายศาลฉบับแรกก็มาถึง เป็นหนี้ Citibank Personnal Loan ผมเริ่มหยุดจ่ายเดือนเมษายน 2007 หมายศาลมาเดือนสิงหาคม 2007 (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ รู้สึกว่าหมายศาลจะมาวันเกิดผมพอดี) กำหนดขึ้นศาลเดือนพฤศจิกายน 2007 ยอดหนี้ตอนหยุดจ่าย 5.7 หมื่นบาท ยอดที่แบงก์ฟ้อง 6.1 หมื่นบาท

หลังจากไปศาลแล้วเจรจาตกลงกันไม่ได้ ก็เลยขอเลื่อนนัดศาลไป 1 นัด ศาลท่านก็เมตตาให้เลื่อนนัดไปเป็นวันที่ 29 มกราคม 2008 ได้เลื่อนออกไป 2 เดือน (อันนี้เป็นการฟ้องแบบ วิ.แพ่งนะครับ ถ้าปัจจุบันเป็น วิ.ผู้บริโภค การขอเลื่อนนัดศาลไม่สามารถขอเลื่อนได้นานๆเหมือน วิ.แพ่ง เดิม)

เมื่อใกล้ถึงกำหนดก็โทรไปเจรจากับแบงก์อีกครั้ง แบงก์เปิดให้ปิดที่ 3.1 หมื่นบาท (ส่วนลดประมาณ 50%) ต่อรองไปต่อรองมาปิดได้ที่ 2.5 หมื่นบาท

โดยผมไปจ่ายปิดที่สำนักงานใหญ่ของซิตี้แบงก์ แถวสาทร.... พอไปถึงก็โทรขึ้นไป เจ้าหน้าที่เค้าก็ลงมา หลังจากนั้นเค้าก็พาไปจ่ายที่หน้าเคาเตอร์ หลังจากจ่ายเสร็จก็ยื่นหนังสือปิดยอดให้ (ตามปกติการจ่ายเงิน HC ต้องได้หนังสือยืนยันมาก่อนทุกครั้ง ยกเว้นกรณีที่เราไปจ่ายที่สำนักงานใหญ่ของแบงก์ ซึ่งเท่าที่รู้มารู้สึกว่าจะมีแค่ซิตี้แบงก์ที่สามารถไปจ่ายที่สำนักงานใหญ่ ได้)

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #886 โดย 0834368962
ตอนช่วงปลายปีเป็นช่วง ที่แบงก์มีโปรโมชั่นให้ส่วนลดกระหน่ำ ตอนปลายปี 2007 ผมก็ได้ส่วนลดกระหน่ำเหมือนกัน ตอนช่วงนั้นไม่มีเงินก้อน ก็ไปขอยืมพ่อแม่ และเพื่อนๆที่เค้าไม่คิดดอกเบี้ยเรา หลังจากนั้นค่อยผ่อนคืนเค้า หนี้ที่ผมปิดได้ช่วงนั้นก็มี

- Citibank Personnal Loan ยอดหนี้ตอนที่หยุดจ่ายประมาณ 1.1 แสน แบงก์อ้างว่าหนี้ตอนนั้นมียอดที่ 1.3 แสน เจรจาต่อรอง ปิดยอดหนี้ที่ 4.5 หมื่นบาท... ไปจ่ายที่สำนักงานใหญ่

- บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของ Standard รวม 3 บัญชี ยอดหนี้รวมตอนที่หยุดจ่ายอยู่ที่ 1.3 แสน แบงก์อ้างว่าหนี้ตอนนั้นมียอดอยู่ที่ 1.5 แสน เจรจาต่อรอง ปิดยอดหนี้ที่ 4.2 หมื่นบาท... ทางสำนักงานกฏหมายส่งหนังสือยืนยันมา หลังจากนั้นผมก็ไปจ่ายที่เคาเตอร์ธนาคาร

หลังจากหยุดจ่ายได้ประมาณ 12 เดือน หมายศาลฉบับที่ 2 ก็ตามมา คราวนี้ถึงคราวของควิกแคซ หมายศาลมาประมาณเดือนเมษายน 2008 กำหนดขึ้นศาลเดือนพฤษภาคม 2008 ยอดหนี้ตอนที่หยุดจ่ายประมาณ 1.2 แสน ยอดหนี้ที่เจ้าหนี้เค้าฟ้องมาประมาณ 1.4 แสน

พอใกล้ถึงกำหนดนัดศาลอีกครั้ง คราวนี้มันบอกว่าลดให้เหลือ 8 หมื่น (เหมือนมันไม่พอใจที่คราวก่อนผมไปขอเลื่อนนัดศาล) ตอนนั้นคิดในใจว่า ถ้าเหลือซัก 7 หมื่นจะจ่ายปิด แต่เจ้าหนี้มันไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายก็เลยมาคิดดู คดีควิกแคซเป็นคดีที่น่าจะสู้คดี เนื่องจากมีโอกาสที่ลดยอดมูลหนี้ที่ฟ้องสูง ผมก็เลยต้องรบกวนคุณทนายให้เขียนคำให้การให้ คุณทนายก็ไปศาลตามนัดและไปขอเลื่อนนัดศาล ซึ่งศาลท่านก็ให้เลื่อนไปเดือน 10/08 ซึ่งคุณทนายเขียนคำให้การสู้คดีเรื่องดอกเบี้ย และให้เหลือหนี้ที่ต้องชำระประมาณ 6 หมื่น

ซึ่งผมจำรายละเอียดไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่คุ้นๆว่าทางศาลมีการเลื่อนพิพากษาออกไป จนในที่สุดศาลท่านก็มีคำพิพากษาออกมา โดยพิพากษาให้จ่ายมูลหนี้ 44,831.64 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ย 7.5% นับตั้งแต่วันที่ฟ้องจนถึงวันที่ชำระเสร็จสิ้น...

ที่ออกมาเป็นคำพิพากาษาอย่างย่อ ซึ่งทางทนายให้ผมไปคัดคำพิพากษาฉบับเต็มมาให้ท่าน คุณทนายอยากทราบเหตุผลของศาลที่พิพากษาให้มากกว่าที่ทนายสู้ไป เพื่อจะได้เป็นข้อมูลสำหรับคดีหลังๆต่อไป

ซึ่งผมก็ไปคัดหลายรอบมาก แต่ทางศาลบอกว่าท่านผู้พิพากษายังไม่ได้ส่งลงมา... ซึ่งคดีนี้คุณทนายบอกว่าทางโจทก์น่าจะยื่นอุธทรณ์... ซึ่งต้องติดตามต่อว่าผลจะเป็นอย่างไร


กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #887 โดย 0834368962
คราวนี้ประมาณเดือนสิงหาคม 2008 คราวนี้หมายศาลมาเดือนเดียว 3 ใบ
- นครหลวงไทย ยอดตอนที่หยุดจ่ายประมาณ 3 หมื่น ยอดที่ฟ้องประมาณ 4 หมื่น ขึ้นศาลต้นเดือนกันยายน 2008
- ไทยธนาคาร ยอดตอนที่หยุดจ่ายประมาณ 3 หมื่น ยอดที่ฟ้องประมาณ 4 หมื่น ขึ้นศาลปลายเดือนกันยายน 2008
- ตัวสุดท้ายเป็นอีซี่บาย ตัวนี้หนักหน่อย ยอดตอนที่หยุดจ่ายประมาณ 1.09 แสน ยอดที่ฟ้องประมาณ 1.4 แสน ขึ้นศาลต้นเดือนตุลาคม 2008

จากการศึกษาข้อมูล นครหลวงไทย กับ ไทยธนาคาร ให้ส่วนลดน้อย ผมก็เลยไปศาลเพื่อขอเลื่อนนัดศาล หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ศาลท่านพิพากษา เมื่อมีคำพิพากษาออกมาค่อยเจรจาผ่อนชำระ

ส่วนอีซี่บาย ผมก็ไปขอเลื่อนนัดศาลเหมือนกัน เมื่อครบกำหนดนัด ก็ไปรบกวนคุณทนายให้เขียนคำให้การสู้คดีให้

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #888 โดย 0834368962
เมื่อวานนี้ (1 ก.พ. 2009) เพิ่งได้รับ หมายศาลของกรุงไทย เป็น วิ.ผู้บริโภค (หมายศาลตัวก่อนๆที่ได้รับเป็น วิ.แพ่ง) ได้รับหลังจากหยุดจ่ายประมาณ 1 ปี 9 เดือน

รวมฟ้องทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อ ยอดตอนที่หยุดจ่ายรวมประมาณ 7.2 หมื่นบาท แบงก์ฟ้องมาที่ยอด 9.7 หมื่นบาท... กำหนดขึ้นศาล 26 มีนาคม 2009... ซึ่งตัวนี้คงต้องมาดูอีกทีว่าจะทำอย่างไร ตอนนี้ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ

สรุปหนี้สินทั้งหมด

หนี้ส่วนของภรรยาผมทั้งหมดตอนที่เริ่มหยุดจ่าย
1. บัตรเครดิต SCIB visa 51,629.23
2. บัตรเครดิต SCIB master 41,763.47
3. บัตรเครดิต เซ็นทรัลการ์ด 25,763.31
4. บัตรเครดิต กรุงไทย 130,892.27
5. บัตรเครดิต การบินไทย 36,684.09
6. บัตรเครดิต กรุงเทพ 40,672.23
7. ผ่อนสินค้ากับ AMEX 51,300.00
ทั้งหมด 387,704.60

ณ ปัจจุบันนี้ เนื่องจากแฟนผมยังใช้วิธี First way out อยู่ หนี้สินของภรรยาผมลดลงประมาณ 1.3 แสนบาท

หนี้สินส่วนของผมทั้งหมดตอนที่เริ่มหยุดจ่าย
1. บัตรเครดิต กรุงศรีอยุธยา 36,314.02 ยังไม่ฟ้อง ผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรก 26/3/2004
2. บัตรเครดิต ไทยพาณิชย์ 38,577.83 ทำประนอมหนี้ เนื่องจากเป็นบัญชีเงินเดือน
3. บัตรเครดิต สแตนดาร์ด 40,660.81 ทำ HC ปิดหนี้แล้ว
4. วงเงินพิเศษ สแตนดาร์ด 45,278.29 ทำ HC ปิดหนี้แล้ว
5. สินเชื่อ สแตนดาร์ด 46,995.68 ทำ HC ปิดหนี้แล้ว
6. บัตรเครดิต กรุงไทย 61,171.66 เพิ่งได้รับหมายศาล รอไปขึ้นศาล
7. สินเชื่อ กรุงไทย 10,904.78 เพิ่งได้รับหมายศาล รอไปขึ้นศาล
8. สินเชื่อ ควิกแคซ 118,702.49 ศาลมีคำพิพาษาออกมาแล้ว รอดูว่าโจทก์จะอุทรณ์หรือไม่
9. สินเชื่อ ไทยธนาคาร 29,472.89 ศาลมีคำพิพาษาออกมาแล้ว รอเจรจาผ่อนชำระ
10. สินเชื่อ อีซี่บาย 109,934.81 สู้คดี รอศาลตัดสิน
11. สินเชื่อ ซิตี้แบงค์ 108,686.17 ทำ HC ปิดหนี้แล้ว
12. สินเชื่อ แคปปิตอล โอเค 21,274.32 ยังไม่ฟ้อง
13. บัตรเครดิต ไทยแอร์เอเชีย 36,827.58 ยังไม่ฟ้อง ผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรก 23/4/2004
14. บัตรเครดิต ซิตี้แบงค์ 46,229.83 ทำ HC ปิดหนี้แล้ว
15. บัตรเครดิต นครหลวงไทย 29,845.58 ยังไม่ฟ้อง
16. บัตรเครดิต ยูโอบี 38,061.16 ยังไม่ฟ้อง ผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรก 9/4/2004
17. บัตรเครดิต อีออน 49,149.12 ยังไม่ฟ้อง ผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรก 6/5/2004
ทั้งหมด 868,087.02
รวมทั้งสิ้น 1,255,791.62

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 1.088 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena