.
ผมได้ตรวจเอกสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว หนังสือ Hair cut ฉบับนี้ถือว่าสมบูรณ์แบบในทางกฎหมายเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคุณชำระเงินภายใต้เงื่อนไขของหนังสือ hair cut ฉบับนี้แล้ว ถือได้ว่าคุณไม่มีหนีคงค้างกับ KTC อีกต่อไปภายใต้สัญญาฉบับนี้(สัญญาหนังสือ Hair cut)
หากต่อไปในภายภาคหน้า ทาง KTC ยังหน้าด้้านฟ้องร้องต่อศาล คุณก็จะมีโอกาสชนะคดีในชั้นศาลถึง 100%...ดังนั้น ผมจึงขอฟันธงว่า...หนี้ของคุณตัวนี้ ทาง KTC มันไม่กล้าฟ้องคุณอย่างแน่นอน
เพราะเอกสารดังกล่าว เป็นการออกให้จากทาง KTC พร้อมกับมีลายเซ็นต์ของ
ผู้จัดการศูนย์ประนอมหนี้บริษัทบัตรกรุงไทยไว้อย่างชัดเจน ว่าเป็นผู้อนุมัติส่วนลดดังกล่าว
ความผิดพลาดของคุณในกรณีนี้ มันเกิดขึ้นจากความสะเพร่าของพนักงานติดตามทวงหนี้ (พนักงานเร่งรัดหนี้สิน) ของทาง KTC เอง
เนื่องจากแต่ละสถาบันการเงิน จะมีส่วนลดหนี้ที่ไม่เท่ากัน
โดยส่วนลดหนี้(หรือที่เรียกกันว่า Hair cut)จะถูกกำหนดออกมาเป็น
นโยบายจากผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินนั้นๆ ว่าสามารถให้ส่วนลดสูงสุดได้ที่เท่าไหร่
โดยห้ามให้ส่วนลดมากกว่านโยบายที่กำหนดเป็นอันขาด
แต่ในกรณีนี้ มันเกิดจากการที่พนักงานทวงหนี้ที่ติดต่อกับคุณ มันดันคิดคำนวณส่วนลด(Hair cut)ผิดพลาด กล่าวคือ มันดันไปให้ส่วนลดกับคุณมากกว่านโยบายที่ทาง KTC กำหนด แล้วมันก็เอาหนังสือ Hair cut ฉบับนี้ ไปให้ผู้จัดการศูนย์ประนอมหนี้เซ็นต์อนุมัติ โดยที่ผู้จัดการคนดังกล่าว ก็ดันสะเพร่าไปด้วยอีกคน โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบตัวเลขของส่วนลดหนี้ ว่ามันเกินกว่าที่นโยบายของ KTC กำหนดไว้หรือไม่(อาจเป็นเพราะต้องเซ็นต์เอกสารเยอะมาก หรือไว้วางใจในการทำงานของลูกน้องมากเกินไป ก็ไม่อาจทราบได้)
พอเอกสารทั้งหมด มันถูกส่งไปยังแผนกบัญชีของ KTC เพื่อทำการปิดยอดหนี้และปิดบัญชี ทางแผนกบัญชีได้ตรวจสอบแล้วและพบว่า การลดหนี้ดังกล่าว มันไม่ได้เป็นไปตามนโยบายที่ผู้บริหารของ KTC กำหนด...
เรื่องมันก็แดงสิครับ
งานนี้ความซวยทั้งหมด มันจึงได้ไปตกอยู่กับพนักงานที่ออกเอกสาร Hair cut และผู้จัดการศูนย์ประนอมหนี้ที่เซ็นต์อนุมัติเอกสารดังกล่าว ว่าทำเอกสารฉบับนี้ออกไปได้อย่างไร? ซึ่งขัดต่อนโยบายส่วนลดของบริษัทบัตรกรุงไทย
ผมจะขอเปรียบเทียบเหตุการณ์ดังกล่าวในข้างล่างนี้ เป็นกรณี"ตัวอย่าง"ให้ดูนะครับ
นายยอดชาย ทำงานเป็นพนักงานขาย(Sales-man)ของบริษัท A
สินค้าแต่ละชิ้นของบริษัท A ถูกกำหนดมาว่า ให้ขายในราคาปกติชิ้นละ 100 บาท
แต่ถ้าหากมีลูกค้ามาขอซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยขอต่อรองราคาสินค้าให้ลดราคาลงมา
ทางบริษัท A กำหนดนโยบายมาว่า ให้สามารถลดราคาได้ต่ำสุดที่ราคาชิ้นละ 80 บาทเท่านั้น...ห้ามขายต่ำกว่าราคานี้ เพราะถ้าขายราคาที่ต่ำกว่านี้ ทางบริษัทจะขาดทุน...และผู้ที่เป็นคนทำให้บริษัทขาดทุน...ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
- นายยอดชายไปขายสินค้าให้กับบริษัท B (บริษัทลูกค้า)
- ทางบริษัท B (ลูกค้า) ได้ต่อรองมาว่า ถ้าต้องการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก ถึง 1,245 ชิ้น ขอให้บริษัท A ขายให้ที่ราคา 87,150 บาท จะได้ไหม?
- นายยอดชายตอบตกลง ในการขายสินค้าให้ในราคาดังกล่าว โดยลืมคำนวณไปว่า ราคาที่ตกลงไปนั้น มันเป็นราคาขายสินค้าที่ชิ้นละ 70 บาทเท่านั้น
- นายยอดชายกลับมาที่บริษัท A เพื่อทำเอกสารใบเสนอราคาขาย พร้อมกับเอาเอกสารใบเสนอราคาดังกล่าว ไปให้ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัท A ให้เซ็นต์อนุมัติ...ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัท A ก็ดันเซ็นต์อนุมัติออกไป โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบเอกสารและราคาขายเลยแม้แต่น้อย
- ฝ่ายจัดซื้อของบริษัท B (ลูกค้า) เซ็นต์อนุมัติซื้อสินค้า ในราคาตามที่ระบุไว้ในใบเสนอราคาขาย พร้อมกับรับมอบสินค้า และใบเสร็จสินค้าของการซื้อขายในครั้งนี้
- เอกสารในการขายสินค้าในครั้งนี้ ได้ถูกส่งกลับไปยังฝ่ายบัญชีของบริษัท A เพื่อทำการปิดการขาย พร้อมกับเอาเงินเข้าบริษัท A ตามขั้นตอน
- ฝ่ายบัญชีของบริษัท A ตรวจสอบพบว่า เป็นการขายที่"ขาดทุน" ซึ่งเป็นการขายที่ขัดต่อนโยบาย และคำสั่งของบริษัท A
- ผู้จัดการฝ่ายบัญชีของบริษัท A ทำเรื่องไปถึงผู้บริหารสูงสุด เพื่อให้ฝ่ายขาย ต้องรับผิดชอบต่อการขายในครั้งนี้
- มีคำสั่งจากผู้บริหารสูงสุด สั่งให้ฝ่ายขายต้องชดใช้เงินค่า"ส่วนต่าง"จากการขายขาดทุนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
- ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัท A รีบติดต่อกลับไปยังบริษัท B (ลูกค้า) เพื่อขออภัยในความผิดพลาดของแผนกตนเอง พร้อมกับขอเรียกเก็บเงินเพิ่มจากบริษัท B (ลูกค้า) เพิ่มอีกจำนวน 12,450 บาท และถ้าหากไม่ได้เงิน ก็จะขอเรียกเก็บสินค้าคืน(ยกเลิกการขายสินค้า)
- บริษัท B (ลูกค้า) ไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มให้ตามข้อเรียกร้องดังกล่าว และไม่ยอมคืนสินค้าให้ด้วย โดยอ้างว่าเป็นการซื้อขายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และการบัญชีทุกอย่างแล้ว ถ้าหากบริษัท A ไม่พอใจ...ก็เชิญไปฟ้องร้องเอาได้เลย
- ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัท A ไม่กล้าฟ้องร้องต่อบริษัท B เพราะถ้าขืนฟ้องร้องไป ยังไงก็ต้องแพ้คดีอย่างแน่นอน และยังอาจถูกบริษัท B ฟ้องกลับเป็นคดีอาญา ในข้อหา
ฉ้อโกงการขายสินค้า อีกทั้งหากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป จะส่งผลเสียหายต่อชื่อเสียงและธุรกิจ ของบริษัท A ในภายภาคหน้าอีกด้วย
- สุดท้าย...นายยอดชายและผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัท A ก็ต้องช่วยกันลงขัน ควักกระเป๋าเงินของตัวเอง เพื่อให้ได้เงินครบตามจำนวน 12,450 บาท(ตามที่ขายขาดทุน) เพื่อนำไปจ่ายคืนให้กับฝ่ายบัญชีของบริษัท A ต่อไป
พอจะเห็นภาพหรือยังครับ?
แต่สำหรับหนี้ KTC ของคุณ ankana มันยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้
เหมือนกับกรณีขายสินค้าของนายยอดชายนะครับ
บิลชำระหนี้จากเคาเตอร์การเงิน(ใบเสร็จรับเงิน) ไม่ว่าจะออกให้โดยธนาคารต่างๆ หรือ non-bank หรือ เคาเตอร์เซอร์วิส เพื่อเป็นหลักฐานว่า คุณได้ชำระหนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
*** ต้องถ่ายเอกสารเก็บเอาไว้ด้วย หากได้รับบิลใบเสร็จการชำระเงินที่ เป็นจำพวกกระดาษคาร์บอน เพราะถ้าหากวันเวลาผ่านไปนานๆ(หลายๆเดือน) ตัวหนังสือที่อยู่ในใบเสร็จของกระดาษคาร์บอน มันจะเลือนหายไปตามกาลเวลา ***
ถ้าตัวหนังสือมันเลือนหายไป คุณจะไม่มีหลักฐานใบเสร็จรับเงินสำหรับไว้ใช้ต่อสู้คดีในทางกฏหมายได้เลย
อีกทั้งผมยังเชื่อว่า ทาง KTC มันยังไม่ยอมเลิกราแค่นี้แน่ๆ(ทั้งๆที่เป็นความผิดพลาดของมันเองแท้ๆ)
มันยังคงจะส่งเอกสารใบแจ้งหนี้และใบทวงหนี้ ให้คุณแบบนี้ต่อไปอีกไม่หยุดหย่อน และยังคงทวงหนี้กับคุณต่อไปอีก เพราะมันยังไม่อยากควักกระเป๋าเงินของตัวเองเพื่อมาจ่ายค่า"ส่วนต่าง"ในครั้งนี้
รวมทั้งมันยังไม่ยอมไปแก้ไขข้อมูลหนี้ของคุณที่เครดิตบูโรอีกด้วย ซึ่งจะทำให้คุณต้องมีข้อมูลหนี้ของ KTC ค้างไว้ที่เครดิตบูโรอยู่ต่อไปอีก
ผมก็ไม่รู้จะเรียกกรณีของของคุณว่าอย่างไรดี?
คุณโชคดี ที่คุณได้ส่วนลดของ KTC มากกว่านโยบายที่กำหนด
(เพราะคนอื่นๆเขาไม่ได้ส่วนลดของ KTC ที่เยอะเหมือนกับคุณ)
หรือ...คุณโชคร้ายที่คุณจ่าย Hair cut แล้ว แต่ยังโดนตามทวงหนี้อยู่
(เพราะคนอื่นๆเขาจ่าย Hair cut แล้วจบเลย ไม่มีการทวงหนี้ให้กวนใจอีกต่อไป แถมยังไป Update ข้อมูลในเครดิตบูโรให้กับลูกหนี้อีกด้วย)
เคสแบบคุณนี้ มีน้อยมากครับ
(เป็นกรณีที่เกิดจากความผิดพลาดของพนักงานเร่งรัดหนี้สินเอง)
ทางออกและวิธีแก้ไขในกรณีเช่นนี้ มีคำแนะนำให้ทุกอย่างครับ
- ไม่ว่าจะเป็นในรูปของคดีและทางกฎหมาย ที่จะทำให้มันไม่สามารถทวงหนี้กับคุณได้อีก
- หรือการเอาข้อมูลหนี้ KTC ของคุณของจากเครดิตบูโร
ซึ่งผมไม่มีเวลามาพิมพ์อธิบายถึงวิธีการมากนัก เพราะเนื้อหาของวิธีการและขั้นตอนมันยาวมาก
และกรณีที่เกิดขึ้นแบบของคุณนี้ มันมีเคสน้อยมาก ถ้าคุณอยากจะรู้จริงๆ ก็ให้โทรมาถามผมแล้วกัน ตามเวลาที่ระบุไว้(อย่าโทรนอกเหนือจากเวลาที่กำหนดนะครับ)
ไม่พบไฟล์ที่แนบ NewHotline.jpg อาจจะถูกลบไปแล้ว