คิกออฟ "คลินิกแก้หนี้" บสส.จัด One Stop Service
Prev1 of 1Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 22 พ.ค. 2560 เวลา 18:55:00 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คิกออฟไปเมื่อ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา สำหรับโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน หรือ "คลินิกแก้หนี้" โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ลงนามร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 16 แห่ง และ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส. หรือ SAM) เพื่อให้เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ลดลง
"ล่าสุดหนี้ครัวเรือนได้ปรับลดลงบ้าง จาก 81.2% ของ GDP ณ สิ้นปี 2558 มาอยู่ที่ 79.9% ณ สิ้นปี 2559 และถึงแม้ว่าจะหักส่วนที่กู้ไปประกอบธุรกิจประมาณ 20% ออกไป ก็ยังนับว่าสูงอยู่" นี่เป็นคำกล่าวของ "วิรไท สันติประภพ" ผู้ว่าการ ธปท. ในวันเปิดโครงการ
โดย "วิรไท" กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยให้ลูกหนี้กลุ่มนี้มีโอกาสปลดภาระหนี้สินที่มีกับเจ้าหนี้หลายรายได้อย่าง "ครบวงจร" และเป็น "มาตรฐานเดียวกัน" ซึ่งครอบคลุมเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน คลินิกแก้หนี้ จะเปิดให้บริการเฉพาะลูกหนี้รายบุคคลที่มีเงินเดือนประจำ อายุไม่เกิน 65 ปี ซึ่งมีหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสดหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน
ติดค้างจ่ายเกินกว่า 3 เดือน (90 วัน) กับเจ้าหนี้ที่เป็นธนาคาร 2 แห่งขึ้น โดยมีหนี้ค้างรวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือถูกตีตราเป็น "หนี้เสีย" ก่อนวันที่ 1 พ.ค. 2560
เมื่อดูข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) พบว่า ลูกหนี้ที่เข้าข่ายโครงการนี้มีจำนวนลูกหนี้กว่า 5 แสนราย ยอดหนี้รวมกว่า 1 แสนล้านบาท สำหรับกรณีลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีแล้ว จะ “ไม่เข้า” เงื่อนไขตามโครงการนี้ ดังนั้น ลูกหนี้ที่เข้าเงื่อนไขจึงอาจไม่ถึง 5 แสนราย
“วิรไท” กล่าวเชื่อมั่นว่า เมื่อทำโครงการนี้จะไม่นำมาสู่การเกิดพฤติกรรมจงใจเบี้ยวหนี้ (Moral Hazard) ได้ อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า คลินิกแก้หนี้จะขยายไปให้บริการแก่เจ้าหนี้น็อนแบงก์ (สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์) ซึ่งอยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 เพื่อเปิดทางให้บริการกลุ่มน็อนแบงก์ได้
ด้านแม่งานสำคัญ “ผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ” ประธานกรรมการ บสส. ซึ่งเป็นตัวกลางสำคัญของการให้บริการคลินิกแก้หนี้ กล่าวว่า ทาง บสส.จะเป็น “One Stop Service” ที่เชื่อมโยงระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้แบบครบวงจร ตั้งแต่ตรวจคุณสมบัติลูกหนี้ที่ยื่นเข้าโครงการ การเจรจาหารือ การพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้-รับชำระหนี้ การติดตามรายงานผลต่อเจ้าหนี้ รวมถึงเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาความรู้ การปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อสร้างวินัยทางการเงิน
สำหรับผู้ที่เข้ามารักษาคลินิกแก้หนี้แห่งนี้จะมีข้อดี คือ ได้รับการพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้ด้านอัตราดอกเบี้ยกู้ อยู่ที่ 4-7% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี และลูกหนี้แต่ละรายจะจ่ายดอกเบี้ยตามระดับรายได้ ได้แก่ รายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท (ต่อเดือน) จะคิดดอกเบี้ย 4%, รายได้ 3-5 หมื่นบาท คิดดอกเบี้ย 5%, รายได้ 5 หมื่นบาท -1 แสนบาท คิดดอกเบี้ย 6% และรายได้มากกว่า 1 แสนบาท จะคิดดอกเบี้ยสูงสุดที่ 7% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลหรือดอกเบี้ยบัตรเครดิตอยู่มาก แต่ว่าในช่วง 5 ปีแรกที่เข้าโครงการนี้ ลูกหนี้จะถูก “ห้ามก่อหนี้ใหม่เพิ่ม” เว้นแต่ว่าลูกหนี้สามารถจ่ายคืนหนี้ได้หมดก่อน 5 ปี จะทำการทบทวนให้ลูกหนี้สามารถก่อหนี้ใหม่ได้
“พวกหนี้เก่าในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยคงค้าง ค่าปรับเก่า พวกนี้เราจะไม่นำมาคิดเลย ไม่มีการเก็บ ถ้าคุณอยู่จนตลอดโครงการ คือวงเงิน 2 ล้านบาท นี่คือเงินต้นอย่างเดียว แต่ถ้าอยู่แค่ครึ่งค่อนทาง ก็ต้องคิดดอกเบี้ยเก่า ค่าปรับเก่ากลับมาด้วย” ประธานกรรมการ บสส.กล่าวและว่า
โครงการนี้เปิดดำเนินการในปีแรก บสส.คาดว่าน่าจะมีลูกหนี้เข้ามาแก้ไขปัญหาจำนวนหลักพันราย จริง ๆ คงไม่รู้แน่ชัดได้ว่าจะมีเข้ามากี่ราย เพราะคนที่เข้ามาแล้วไม่เข้าเงื่อนไข ก็ต้องตกไป อย่างไรก็ตาม บสส.จะมีการเก็บชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร.ติดต่อไว้ หากอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และลูกหนี้เข้าข่ายดังกล่าว บสส.จะได้ติดต่อกลับไปได้
สำหรับลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถเดินเข้ามาหา บสส.ได้ ซึ่งมีเปิดให้บริการสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ และอีก 4 จังหวัดตามภูมิภาค คือ สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ พิษณุโลก และขอนแก่น หรือใช้วิธี โทร.เข้าไป โดยเจ้าหน้าที่ บสส.จะช่วยลูกหนี้ในการกรอกเอกสาร หรือลูกหนี้สามารถกรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์
www.debtclinicbysam.com
หรือ
www.คลินิกแก้หนี้.com
หรือจะติดต่อทางโทรศัพท์ 20 คู่สายได้เอง
ฟากแบงก์เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ นำโดย “ปรีดี ดาวฉาย” ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย
มั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยแก้ปัญหาลูกหนี้ได้แบบองค์รวม โดยแบงก์เจ้าหนี้ก็ต้องยอมเสียสละเพื่อสังคม โดยยอมปรับลดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) ต่าง ๆ ให้ลูกหนี้ และมาจ่ายบริการติดตามหนี้ให้แก่ บสส. โดย บสส.คิดค่าธรรมเนียมในอัตราสูงสุดไม่เกิน 7% ของวงเงินที่เรียกเก็บจากลูกหนี้ได้ แต่ขณะเดียวกันแบงก์ก็ไม่ต้องมามีต้นทุนติดตามหนี้เอง ทางด้านลูกหนี้ที่เข้าโครงการนี้ มีโอกาสได้เลื่อนขึ้นเป็นลูกหนี้ชั้นดีในอนาคตได้ด้วย
“ในช่วงเริ่มต้นอาจยังแก้หนี้ไม่ได้ทั้งหมด หรืออาจมีข้อติดขัดอยู่บ้าง จึงอยากให้แต่ละธนาคารช่วยกันอธิบายให้ลูกหนี้เข้าใจและรายงานถึงปัญหา เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขต่อไป ในส่วนของธนาคารกสิกรไทย ปัจจุบันมีลูกหนี้ที่มีเข้าข่ายราว 7 หมื่นราย มูลหนี้ราว 3,000-4,000 ล้านบาท”
ส่วนธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย คาดจะมีลูกหนี้ที่เข้าข่ายราว 1 หมื่นราย มูลหนี้เกือบ 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คลินิกแก้หนี้ ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะสามารถรักษาหนี้ทุกคนให้หายขาดได้ แต่เป็นหนึ่งในมาตรการที่จะเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่สุจริตและมีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากแก้ไขปัญหา สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ นี่คือคำกล่าวย้ำของผู้ว่าการแบงก์ชาติ ต้องการกล่าวย้ำให้ลูกหนี้เข้าใจ เพราะโอกาสดี ๆ ในการคืนชีพ “เครดิตทางการเงิน” ขึ้นอยู่กับตัวลูกหนี้ปฏิบัติเองเป็นสำคัญ
ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat