- จำนวนโพสต์: 5911
- ขอบคุณที่รับ: 2590
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
moodaeng เขียน: ผมมีหนี้กับทาง Citibank ทั้ง Visa และ Ready โดยได้หยุดชำระมาประมาณ 6 เดือนแล้ว ในส่วนของ Visa ยอดหนี้ ณ ปัจจุบันประมาณ 140,000 บาท ทางแบงค์เสนอเงื่อนไขประนอมหนี้ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับกรณีอื่นที่ผมอ่านมาในกระทู้อื่นๆ คือทางแบงค์เสนอให้จ่ายเดือนละ 1,500 โดยคิดดอกเบี้ย 0% เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อชำระหนี้บางส่วน (ยอดรวมทั้งหมดคือ 18,000 บาท ซึ่งทั้งหมดจะไปหักจากยอดหนี้คงเหลือ) หากครบ 1 ปีแล้วยังมียอดหนี้ค้างชำระอยู่หรือปิดบัญชีไม่ได้ ก็จะกลับไปใช้เงื่อนไขเดิม ซึ่งระหว่าง 1 ปีนี้ถ้ามีเงินก้อน ก็สามารถเจรจาเพื่อขอส่วนลดปิดบัญชีได้ (ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ไม่มีระบุในสัญญา) และมีการยกเลิกค่าติดตามทวงถามและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นนับจากวันที่เริ่มหยุดชำระ โดยกรณีของผมคิดเป็นยอดเงินประมาณ 13,000 บาท
โดยส่วนตัวผมก็ค่อนข้างลังเล เพราะเงื่อนไขค่อนข้างน่าสนใจ แต่จากกระทู้ของคุณนกกระจอกเทศเรื่องสัญญานรก มันก็ทำให้ผมต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คือผมไม่เข้าใจเจตนาของทางแบงค์ว่าการนำเสนอเงื่อนไขนี้ ทางแบงค์จะใช้เป็นเหตุผลหักล้างเราอย่างไร เวลาที่ส่งฟ้องกรณีที่เราปิดบัญชีไม่ได้ภายใน 1 ปีและหลังจากนั้นเราหยุดชำระอีก หรือระหว่าง 1 ปีนี้เราหยุดชำระ สำหรับผม ผมสามารถชำระเดือนละ 1500 บาทได้และยังคงสามารถเก็บเงินเพื่อ hair cut ตัวนี้หรือตัวอื่นได้ ผมจึงอยากรบกวนทุกท่านได้โปรดช่วยอ่านสัญญาที่ทางแบงค์ส่งมาให้ผมเซนต์ที่ผมได้แนบไฟล์มา และช่วยให้คำแนะนำถึงข้อดี ข้อเสียของการตกลงทำสัญญาฉบับนี้เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาของตัวผมเอง โดยผมจะดูว่าข้อดี ข้อเสียมันลงตัวกับเหตุปัจจัยของตัวผมเองหรือไม่ และจะเข้ากับแผนที่วางเอาไว้หรือไม่ด้วยครับ
moodaeng เขียน: หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ได้ตัดสินใจว่าจะทำประนอมตัวนี้ครับ เพราะอย่างน้อยก็หยุดดอกเบี้ยและค่าปรับที่วิ่งเดือนละหลายพันไว้ชั่วขณะ และเท่าที่ดูนโยบายของ Citi Group ช่วงหลังๆ จะค่อนข้างประนีประนอม พูดคุยกันง่าย ก่อนหน้านี้ผมเพิ่ง H/C Citi Advance ไป ก็ได้ส่วนลดเกือบ 50% หลังจากหยุดแค่ 4 เดือน คุยกันแค่ 1-2 ครั้งก็ตกลงกันได้เลย เลยคิดว่าหยุดตัวนี้ไว้ก่อนชั่วคราว แล้วเก็บเงินไปสู้กับตัวอื่น ที่ไม่มีนโยบายจะโอนอ่อนผ่อนตามให้ลูกค้าเลย เช่น KTC ก่อนน่าจะดีกว่า โดยส่วนตัวไม่ได้กลัวการไปขึ้นศาล แต่ว่ามีเหตุผลบางประการที่พยายามหลีกเลี่ยงการต้องขึ้นศาล ถ้าในช่วง 1 ปีนี้สามารถจัดการตัวอื่นๆได้ ถึงตอนนั้นถ้าได้ส่วนลดจาก Citi ตัวนี้แค่ 20 - 30% ผมก็คิดว่าโอเคแล้วครับ ดอกที่หยุดในช่วง 1 ปีนี้ก็หลายหมื่นอยู่ ก็เท่ากับได้ส่วนลดไปบางส่วนแล้ว
“สัญญา_นรก” คืออะไร?
“สัญญา นรก ” ก็คือสัญญาที่ทางฝ่ายเจ้าหนี้หยิบยื่นเงือนไขให้กับลูกหนี้ หลังจากที่ลูกหนี้หยุดชำระหนี้บัตรเครดิต หรือหยุดชำระหนี้สินเชื่อ มานานสักระยะหนึ่งแล้ว(หยุดจ่ายประมาณ 2 เดือนขึ้นไป) โดยทางเจ้าหนี้จะเสนอให้ทางฝ่ายลูกหนี้กู้เงินก้อนใหม่จากทางเจ้าหนี้ เพื่อไปปิดหนี้ตัวเดิมที่ได้หยุดจ่ายไป แล้วมาผ่อนต่อในสัญญาเงินกู้ตัวใหม่นี้แทน โดยเสนอว่าจะลดดอกเบี้ยให้ ยอดผ่อนจ่ายต่อเดือนน้อยลง แต่ระยะเวลาในการผ่อนจ่ายนานขึ้น(เช่น 4 - 5 ปี)เป็นต้น
เงินกู้ก้อนใหม่ที่ได้มานี้ จะเอาไปใช้ปิดหนี้ที่ค้างชำระของเดิมเลยโดยตรง เงินก้อนนี้จะไม่ผ่านมือของลูกหนี้เลย
สัญญานรกประเภทนี้ จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป(ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้แต่ละราย ว่าจะตั้งชื่อเรียกว่าอะไร) เช่น
- สัญญาประนอมหนี้
- สัญญาปรับโครงสร้างหนี้
- สินเชื่อศุภฤกษ์
- สินเชื่อรีไรท์
- สินเชื่อผ่อนสบาย (แต่ไปตายในภายภาคหน้า)...เป็นต้น
ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกเป็นอย่างไรก็ตาม ต่างก็เป็น“สัญญานรก”ทั้งนั้น เพียงแต่เรียกชื่อให้มันฟังดูไพเราะเสนาะหู ก็เท่านั้นเอง
ข้อดีก็คือ
- เจ้าหนี้ไม่โทรมาทวงหนี้ให้รำคาญ
- วิธีนี้อาจเหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น และต้องเป็นยอดหนี้ที่ไม่สูงมากนัก
โดยเมื่อคำนวนออกมาแล้ว ตัวลูกหนี้เองต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถผ่อนจ่ายในระยะยาวได้จริงๆ เพราะถ้าหากในอนาคต ลูกหนี้เกิดตกงานหรือขาดรายได้ประจำขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถจ่ายตาม“สัญญานรก”ได้ดังเดิม วันนั้นแหละครับ ที่จะได้รู้ว่า“ไส้ติ่งแตก”มันเป็นอย่างไร
เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ
ที่บอกว่า"ผ่อนสบาย"แล้วไปตายในภายหน้า มันเป็นอย่างไร
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
Babyblue เขียน: มาช้าไป เพราะยังไง คุณก็ตกลงทำสัญญานี้แล้ว
เราว่าคุณยังมองถึงจุดจบไม่ออกใช่มั้ยคะ ตั้งใจแต่ว่าจะรีบปลดหนี้เร็วๆ ใช่มั้ย?
สัญญาตัวนี้ มันคือสัญญานรกที่คุณนกกระจอกเทศกล่าวนั่นแหละค่ะ
แต่ถ้าคุณจะหันหลังกลับ ก็แค่ไม่ยอมจ่ายงวดแรกเท่านั้นค่ะ
(นี่อ่านมาจากกระทู้เก่าๆ นะคะ เราเลยไม่ยอมทำค่ะ เพราะเหมือนยืดเวลาตาย สุดท้าย ตายหนักกว่าเดิม)
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
moodaeng เขียน: สวัสดีครับเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ผมห่างหายจากการเข้า webboard ที่นี่มานานมากๆ วันนี้อยากจะมาอัพเดทชีวิตให้เพื่อนๆได้รับทราบ เผื่อเป็นแนวทางให้เพื่อนๆได้บ้าง และเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆที่เพิ่งเข้ามาใหม่ว่าชีวิตเรามีวันหมดหนี้ครับ
เมื่อ 5 ปีก่อน ผมก็เข้ามาที่นี่ด้วยความสิ้นหวัง ไล่อ่านกระทู้ไม่หลับไม่นอน อ่านกรณีตัวอย่างของสมาชิกและกรรมการชมรมหลายๆท่านที่หมดหนี้ได้ ก็ได้แต่คิดว่าเราจะทำได้ไหมนะ ตอนนั้นมันมืดมนเหลือเกิน แต่ก็พยายามตั้งสติและวางแผนเพื่อปลดหนี้ โดยใช้แนวทางที่ชมรมได้แนะนำไว้ โดยหลักๆทีทำก็ตามที่ส่วนใหญ่จะทราบกันอยู่แล้ว
1. หยุดใช้บัตรทุกใบ หยุดจ่ายทุกบัตร
2. วางแผนรายรับรายจ่าย ทำบัญชีครัวเรือน
3. เดินไปบอกเมีย ยอมให้เมียด่า แล้วมาช่วยกันคิด
4. หาทางประหยัด เก็บเงิน
แรกๆก็ยังมึนๆงงๆ เหมือนหลายๆท่าน ก็พยายามอดทนไป โดนโทรทวงตลอด แต่ผม "รับทุกสายที่โทรมา" คุยกับเค้าดีๆ ด้วยความสุภาพ เข้าใจว่าเค้าทำหน้าที่ของเค้า แต่ละคนก้โตมาไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะโชคดี ไม่เจอเจ้าหน้าที่ที่กักขฬะมากมายอะไร ยังอยู่ในเลเวลที่อดทนได้ และโชคดีที่พี่ๆกรรมการชมรมรุ่นก่อนๆ ช่วยกันผลักดันจน พรบ.ทวงหนี้ออกมา เรารุ่นหลังๆเลยได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างมาก ประเภทแบบโทรมาประจานที่ทำงานก็ไม่เจอกันแล้ว
พูดถึงเรื่องการประจาน หลายคนอายที่จะให้คนอื่นรับรู้ว่าเป็นหนี้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนเป็นข้าราชการ หรือ ระดับผู้บริการ ก็อาจจะมีผลกระทบกับหน้าที่การงาน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือ ต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อนครับ ถ้ามันปกปิดไมไ่ด้จริงๆ ก็ยืดอกยอมรับ และแสดงให้ทุกคนเห็นว่า เรายอมรับความผิดพลาด และพร้อมที่จะแก้ไข ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ ตราบใดที่คุณยังจมไม่ลง การแก้ปัญหาจะยากขึ้น ถ้าคุณอายที่จะห่อข้าวไปกินเพื่อประหยัดเงิน เลิกกินกาแฟแพงๆ มากินกาแฟชงไมไ่ด้ คุณจะไม่มีทางแก้ปัญหาได้ง่ายๆ
หลังจากอดทนไปได้สักพัก ธนาคารต่างๆก็เริ่มเสนอ hair cut มาให้โดยที่เราไม่เคยถาม เราไม่เคยแสดงออกให้เจ้าหน้าที่รู้ว่า เรารู้จักการ hair cut การแกล้งโง่บางทีก็ช่วยได้เยอะ ธนาคารแรกที่ผมปิดได้คือ kbank ข้อเสนอ 50% เก็บเงินได้พอ เลยปิดจบไป กำลังใจเริ่มมา ส่งขั้นต่ำมาหลายปีหนี้ไม่ลด หยุดจ่ายเก็บเงินไม่กี่เดือน ปิดหนี้ได้แล้ว
หลังจากนั้นก็เดินหน้าเต็มตัว ประหยัด เก็บเงิน เจรจาต่อรอง ไล่ปิดไปตามที่ไหว แต่มีประเด็นนึงที่เดี๋ยวจะมาเน้นย้ำว่าหากอยากหมดหนี้ต้องทำอย่างไรอีกทีช่วงท้ายๆ
ผ่านไปสักพัก ก็เจอข้อเสนอจาก citi bank ตามที่ post ถามในกระทู้นี้ ก็ตกลงรับข้อเสนอ ก็ผ่อนไปทุกเดือนจนครบ 1 ปี ทาง citibank ก็ส่งสรุปมาให้ ก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่แจ้งไว้ ดอกหยุดวิ่งตลอด 1 ปี เงินต้นที่ส่งไปทุกเดือนก็ไปตัดยอดให้ พร้อมข้อเสนอส่วนลด 40% จากยอดหนี้ที่เหลือ พอดีมีเงินพอ ก็เลยตกลง ปิดจบกันไป ของ citibank จะให้เรา fax เอกสารไปขอส่วนลดนะครับ เจ้าหน้าที่จะเอาไปเสนอหัวหน้าเค้าอีกที แรกๆก็ลังเล ไม่กล้า fax ไป กลัวจะมีลูกเล่น แต่สุดท้ายก็ได้ส่วนลดตามข้อเสนอ และได้เอกสารหมดภาระหนี้เมื่อชำระเงิน ในเครดิตบูโรก็แสดงสถานะถูกต้อง
มีโดน scb และ ktc ฟ้องไล่ๆกัน หลังจากหยุดไปไม่ถึงปี และก็เหมือนทุกคนล่ะครับ กลัว ลนลาน ไม่รู้จะทำไง มาไล่อ่านกระทู้อีกรอบ ตัดสินใจไปศาลตามที่ชมรมให้แนวทางไว้ ของ scb ไปเจอทนายโจทย์ยื่นขอเสนอส่วนลดมาให้ แต่ยอดสูงจ่ายไม่ไหว เลยขอศาลเลื่อน เพื่อไปเจรจา ศาลเลื่อนให้ประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นธนาคารก็โทรมาเจรจา ก็พยายามต่อรอง ธนาคารก็ยอมลดให้บ้าง แต่เงินก็มีไม่พอ แต่ส่วนลดก็เยอะมาก สุดท้ายตัดสินใจเดินไปคุยกับเจ้านาย ขอกู้เงินจากเจ้านายในส่วนที่ขาด เจ้านายบอกให้กู้จากบริษัทแล้วกัน ถือว่าเป็นสวัสดิการใหม่ของบริษัท คือ เงินกู้ยืมฉุกเฉิน เพราะผมเป็นพนักงานคนแรกของบริษัทและอยู่มานานตั้งแต่ตั้งบริษัท เจ้านายเลยไว้ใจ ผมก็ให้บริษัทหักเงินเดือนใช้คืนบริษัทไปเลย เท่ากับได้เงินกู้แบบไม่มีดอกเบี้ย และผ่อนคืนเดือนละไม่มาก ผมคิดแล้วว่าถ้าให้ศาลพิพากษา ก็อาจจะไม่ได้ส่วนลดเท่านี้ และสุดท้ายก็โดนบังคับคดี หักเงินเดือนอยู่ดี หรือเลวร้ายกว่านั้นก็ยึดทรัพย์ขายทอดตลาด วิธีนี้ก็น่าจะดีกว่า สุดท้ายก็ปิดจบไปอีกราย
ส่วน ktc จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยร่วมกับศาล ผมก็ไป เจอเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายร้อยชีวิต ข้อเสนอที่ได้คือ ให้ผ่อนยอดต่ำๆ แบบขั้นบันได 3 ปี โดยให้เราเสนอว่าเราไหวแค่ไหน ผมคำนวณแล้วลองเสนอไป ธนาคารก็ยอมรับข้อเสนอ ก็เลยตัดสินใจประนอมหนี้ไป เพราะผ่อนต่อเดือนน้อยมาก พอผ่อนครบ 3 ปี ทางธนาคารก็เสนอ hair cut มาให้ ถามว่าไหวไหม ไม่ไหวจะให้ทำสัญญาผ่อนต่อ ตอนนั้นเตรียมเงินเก็บไว้แล้ว เลยทำ hair cut ปิดจบกันไป
ช่วงระหว่าง 3 ปีที่ผ่อน ktc และบริษัทหักเงินเดือนส่วนที่กู้บริษัทมา ก็ไล่ hair cut ธนาคารอื่นๆ เท่าที่ไหวและเจรจาได้ ก็ไล่ปิดมาเรื่อยๆ ทีละใบๆ
สุดท้ายเหลือเจ้าเดียว คือ กรุงศรี สไมล์แคช ซึ่งพอเช็คเครดิตบูโร ก็ต้องแปลกใจ เพราะไม่มีรายการนี้ติดอยู่ในรายการมานานแล้ว พอสืบไปก็พบว่า ธนาคารโอนหนี้ให้บริษัทลูก คือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ มาดูแลแทน เพื่อไม่ให้หนี้ของเราเป็นหนี้เสีย และธนาคารไม่ต้องกันเงินสำรอง เราก็โอเคในเครดิตบูโรเราไม่มีหนี้แล้ว แต่ตัวแทนกรุงศรีก็โทรทวงเรื่อยๆมาเรียงๆ แต่ไม่เคยให้ส่วนลดมากๆ แบบเจ้าอื่น แถมดอกเบี้ยติดจรวดมาก ก็พยายามเจรจามาตลอด เพราะอยากเป็นไทแก่ตัว สุดท้ายโดนฟ้อง จากยอดตอนที่หยุดประมาณ 190,000 แต่ยอดที่ฟ้องรวมดอกเบี้ยคือเกือบ 500,000 ระยะเวลาจากที่หยุดจ่ายถึงวันฟ้องคือ 5 ปี 5 เดือน เพื่อนๆ เห็นอะไรไหมครับ ระยะเวลาคือเกิน 5 ปี ผมเลยมาไล่เช็คจากกระทู้ท่านประธานเรื่อง กฏหมาย พบว่าอายุความสินเชื่อบุคคลคือ 5 ปี อันนี้เกิน 5 ปีมาหลายเดือน คดีหมดอายุความแน่ๆ (อ่านผ่านๆตาตั้งแต่ที่เข้าชมรมมาใหม่ๆ พอเจอจริงๆก็พอนึกออก เลยมาไล่ดู โชคดีที่อ่านทุกกระทู้ในห้องความรู้และกฏหมาย ไม่งั้นคงมืดแปดด้าน) ทีนี้ทำยังไงดีล่ะ ใน Hot line กรรมการหลายๆท่าน ก็ไม่รับ Hot line แล้ว สุดท้ายตัดสินใจโทรหาคุณอาไพโรจน์ เหมือนสวรรค์โปรดคุณอาใจดีมากๆ แม้จะอายุมากแล้วแต่คุณอายังเก่งมากๆ คุณอาให้คำแนะนำต่างๆเป็นอย่างดี และคุณอายินดีจะเขียนคำให้การต่อสู้คดีให้ ให้ส่งสำเนาคำฟ้องไปให้ ผมก็รีบส่งไป เชื่อไหมว่าแค่ 2-3 วัน คุณอาก็ส่งคำให้การ และคำแนะนำต่างๆ ขั้นตอนการสู้คดีมาให้ โดยที่คุณอาไม่เคยพูดถึงค่าใช้จ่ายเลยสักบาท เป็นฝ่ายผมที่เกรงใจทนไมไ่หวเลยโทรไปถาม คุณอาบอกว่าแล้วแต่คุณเถอะ คุณอาเต็มใจช่วย ผมก็เลยโอนเงินให้คุณอาจำนวนหนึ่งเพื่อตอบแทนบุณคุณของคุณอา
แต่ก่อนจะไปขึ้นศาล ผมไม่มั่นใจว่าจะสู้คดีเองคนเดียวได้ไหม และโชคดีได้เจอน้องทนายคนนึงยินดีช่วย โดยคิดค่าทนายไม่แพงมาก ผมพอจ่ายไหว เลยตัดสินใจให้น้องทนายช่วย น้องบอกว่ามีคำให้การจากคุณอาไพโรจน์แล้ว งานเค้าก็ง่ายขึ้น และคดีหมดอายุความจริง ไม่น่ามีปัญหาอะไร ถึงวันขึ้นศาลผมก็ไปกับน้องทนาย ยื่นต่อสู้คดี ปรากฏว่าทนายฝ่ายโจทย์ไม่คิดว่าจะมีคนสู้คดี เค้าเลยจะขอเลื่อน แต่ศาลบอกว่าประเด็นที่ต้องพิจารณามีแค่ว่าหมดอายุความจริงหรือไม่ จึงไม่ให้เลื่อน ให้สืบพยานเลย ก็เลยเข้าทางเรา เพราะเรามีข้อมูลหลักฐานที่คุณอาไพโรจน์เตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี เราก็ให้ปากคำไปตามนั้น แต่ก็มีความเห็นของผู้พิพากษาที่ทำให้เรากับทนายกังวลใจ เราก็โทรไปเล่าให้คุณอาไพโรจน์ฟัง คุณอาก็ให้กำลังใจและรอดูคำตัดสิน ศาลนัดฟังคำพิพากษาหลังจากนั้นประมาณเดือนนึง ก็นอนรอด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ สุดท้ายศาลพิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากคดีหมดอายุความ เราดีใจมาก รู้สึกว่าคำพิพากษาเป็นเหมือนการปิดท้ายเส้นทางการใช้หนี้ที่แสนยาวนาน เรารีบโทรไปเล่าให้คุณอาไพโรจน์ฟัง คุณอาดีใจด้วย และขอให้ส่งสำเนาคำพิพากษาไปให้คุณอาไว้เป็นข้อมูล เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกคนอื่นในอนาคต สิ่งหนึ่งที่ฟังจากคุณอาแล้วเรารู้สึกเศร้าใจคือ คุณอาบอกว่า ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่โทรกลับมาเล่าให้ฟัง ส่วนใหญ่พอได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว ก็ไม่เคยติดต่อกลับไป เหมือนแกส่งขึ้นฝั่งแล้วก็หายไปหมด ก็อยากฝากเพื่อนสมาชิกคนอื่นนะครับ ถ้าขอความช่วยเหลือจากคุณอาแล้ว ก็ตอบแทนแกบ้าง โทรกลับไปเล่าให้แกฟังบ้างว่าผลเป็นยังไง แกจะมีความสุขมากๆ เมื่อรู้ว่าแกช่วยเราให้พ้นทุกข์ได้ อยากให้นึกถึงบุญคุณของกรรมการชมรมและสมาชิกหลายๆท่านที่ช่วยกันในชมรมนี้ ทุกคนทำด้วยจิตอาสา หากไม่มีชมรมนี้ ผมเองก็คงยังวนเวียนในวังวนหนี้ไม่รู้จบ
สำหรับผม ตอนนี้ก็หมดภาระแล้ว ก็รอดูว่ากรุงศรีจะอุทธรณ์หรือเปล่า ในความเป็นจริง ผมก็ยังคงเป็นหนี้กรุงศรีอยู่ ในความรู้สึกก็อยากจะชำระคืน แต่สิ่งที่ธนาคารทำก็โหดร้ายไปหน่อย โอนหนี้ไปในราคาถูกๆ แล้วให้บริษัทลูกมาไล่บี้เรา โดยที่ไม่มีมาตรการผ่อนปรนอะไร เพราะธนาคารไม่ต้องกันเงินสำรอง ก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนลด hair cut ให้เรา เราจ่ายไม่ไหว ดอกก็วิ่งไปเรื่อยๆ จนถมต้นไปหลายเท่า ดึงเวลาไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ฟ้องเอา วันที่เราไปขึ้นศาล มีคดีกรุงศรีที่บัลลังค์เดียวกันอีก 5-6 คดี แต่มีแค่คดีเราคดีเดียวที่ไปศาล ที่เหลือไม่ไปศาล ผลลัพธ์ก็คือศาลพิพากษาตามโจทย์ฟ้อง คิดดูว่าถ้าคดีหมดอายุความเหมือนผม ธนาคารจะได้กำไรมหาศาลแค่ไหน เงินต้น 190,000 แต่ธนาคารได้ดอกพร้อมต้นไปเกือบ 500,000 6-7 คดีพลาดแค่คดีผมคดีเดียว พอคิดแบบนี้ ผมก็เลยคิดว่าผมไม่ได้โกงธนาคาร เพราะก็ต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฏหมาย คุณโหดร้าย ดึงเวลาเพื่อจะได้ดอกเบี้ยเยอะๆ คุณพลาดเรื่องอายุความ มันก็คงแฟร์ที่เราจะไม่จ่ายคืนด้วยยอดที่คุณฟ้องเรา
อ่านมายาวมากแล้วผมขอสรุปข้อคิดเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ
1. ทุกคนมีปัจจัยไม่เหมือนกัน อย่าเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น หาแนวทางของตัวเองให้เจอ สิ่งที่ชมรมให้เป็นเพียงแนวทาง ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกคน เราต้องรู้จักคิดและทำความเข้าใจกับแนวทาง แล้ววางแผนของตัวเองตามสภาพปัจจัยของตัวเอง
2. ถ้าประหยัดที่สุดแล้ว ยังเก็บเงินใช้หนี้ไม่ได้ ต้องหาวิธีหารายได้เพิ่ม อย่าพูดว่าไม่มีความรู้ ไม่มีทุน ไม่มีเวลา ไม่รุ้จะไปทำอะไร ผมเคยฟัง money coach เล่าเรื่องคนที่มาปรึกษาเค้า ตอนที่มาปรึกษาเค้าก็อ้างเหมือนที่ผมบอกไป coach เลยบอกว่า งั้นคุณก็ไม่มีทางหมดหนี้ ผ่านไป 3 เดือน coach มาเจอเค้าอีกครั้ง ตอนนี้เค้าเริ่มใช้หนี้ได้แล้ว coach ถามว่าคุณเอาเงินมาจากไหน เค้าบอกว่าหลังจากไปนอนคิดอยู่หลายวัน สุดท้ายเค้าก็หาทางออกได้ โดยการที่เค้าไปเดินถามเพื่อนที่ทำงานว่าพรุงนี้ใครอยากกินกระเพราไข่ดาวบ้าง แล้วเค้าก็เก็บเงินคนที่ต้องการมา ตอนเย็นก็เอาเงินที่เก็บมาไปซื้อหมู ไข่ กระเพรา มาทำข้าวกล่องไปส่งให้เพื่อนๆที่ทำงานในวันรุ่งขึ้น ทำแบบนี้จนเริ่มเก็บเงินใช้หนี้ได้ และมีเงินไว้ลงทุนต่อไป เงินลอยอยู่ในอากาศ รอให้เราไปคว้าครับ ผมเองถ้าไม่รับงานฟรีแลนซ์มาทำ ก็ไม่มีทางหมดหนี้ได้ครับ ถ้ารายรับเท่าเดิม อีก 5 ปี ยังไม่รู้ผมจะหมดหนี้หรือเปล่าเลยครับ เวลามาเล่ามันฟังดูเหมือนง่าย แค่หยุดจ่าย แล้วเก็บเงินรอ hair cut ความเป็นจริงมันไม่ง่ายเลยครับ ยิ่งรายได้น้อยๆ จะเก็บยังไงให้ทัน hair cut สิ่งแรกที่ควรคิดหลังจากหยุดจ่าย ไม่ใช่ถามว่ากี่เดือนธนาคารจะให้ hair cut ต้องถามตัวเองครับ จะเอาเงินที่ไหนมาทำ hair cut ถ้าโอกาสมาถึงจริงๆ อยากหมดหนี้เร็ว ก็ต้องหาเงินให้ได้เยอะๆครับ
3. อย่ากลัวการโดนฟ้อง อย่ากลัวการไปศาล ศาลคือที่พึ่งของเราครับ ศาลจะให้ความยุติธรรมกับเรา สุดท้ายถ้าพิพากษามา แล้วเราไม่มีปัญญาจ่าย ตอนโดนบังคับคดี ศาลก็ให้เจ้าหนี้หักเงินเดือนได้ แต่ก็ต้องให้เรามีชีวิตต่อไปได้ด้วย หักได้สูงสุดก็ไม่เกิน 30% ยังเหลือเงินเดือนให้เราใช้จ่ายได้ ถ้าโดนฟ้องขึ้นมา มาปรึกษาเพื่อนๆในชมรมได้ครับ หรือปรึกษาคุณอาไพโรจน์ ชีวิตมีทางออกแน่นอนครับ ศาลไมได้น่ากลัวอย่างที่คิด
4. ยอมรับความจริงให้ได้ครับ เราเป็นหนี้จริงจะด้วยสาเหตุอะไร เราก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ อย่าโทษคนอื่น ใช้สติแก้ปัญหา
5. เป็นหนี้ ก็มีชีวิตที่ดีได้ครับ ผมทำงานหนักเพื่อหาเงินใช้หนี้ นอนวันละ 2-3 ชั่วโมงก็เคย แต่พอหนี้มันลดลง เราก็จะค่อยสบายขึ้น มีความสุขมากขึ้น ตลอด 5 ปี ผมไม่เคยต้องให้ลูกอด ยังให้ลูกเต็มที่เหมือนเดิม เราแค่ต้องทำงานหนักขึ้น ผมยังส่งให่พ่อแม่ใช้เท่าเดิม ไม่เคยลดลง พ่อกับแม่ก็อวยพรทุกครั้งที่โอนเงินไปให้ ผมคิดเองว่าผลจากความกตัญญูนี้แหล่ะ ที่ทำให้เราผ่านปัญหาไปได้ ตั้งแต่เริ่มหยุดจ่ายเพื่อเก็บเงินใช้หนี้ ผมมีงานพิเศษเข้ามาตลอดไม่เคยขาด จนทำคนเดียวไม่ไหว ก็ดึงเพื่อนๆ น้องๆมาช่วยกัน จนตอนนี้ออกมาเปิดบริษัทของตัวเองได้แล้วครับ
ก็น่าจะครบถ้วนทุกประเด็นที่อยากมาเล่าให้เพื่อนๆฟังแล้วนะครับ ถ้าเพื่อนๆท่านไหนสงสัยอะไร หรือ มีคำถาม หรือ อยากปรึกษา ถ้าคิดว่าผมช่วยได้ ผมยินดีนะครับ ผมอาจจะไม่ได้เข้ามาทุกวัน แต่จะพยายามเข้ามาเป็นประจำ เพื่อตอบแทนบุญคุญของชมรมแห่งนี้ และกรรมการทุกๆรุ่น ทุกๆท่านครับ
สำหรับท่านที่ยังเป็นหนี้ หรือเพื่อนสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ชีวิตเรามีทางออกครับ หนทางนี้พิสูจน์กันมาหลายรุ่น หลายยุค หลายสมัยแล้วว่ามันได้ผล แก้ปัญหาได้ แต่ต้องมีสติและรู้จักแก้ปัญหา หนี้จะเยอะแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เรามีความสุขได้แม้มีหนี้ เรามีชีวิตที่ดีได้แม้มีหนี้ วันที่เราจะเป็นไทแก่ตัว มันมีอยู่จริงครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณชมรมแห่งนี้ กรรมการทุกๆรุ่น ทุกท่านๆ เพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านที่ได้ช่วยเหลือกันมา จนมีวันที่ผมได้มีโอกาสพูดว่า ผมจบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้แล้วครับ "โรงเรียนหมดหนี้"
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
moodaeng เขียน: สวัสดีครับเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ผมห่างหายจากการเข้า webboard ที่นี่มานานมากๆ วันนี้อยากจะมาอัพเดทชีวิตให้เพื่อนๆได้รับทราบ เผื่อเป็นแนวทางให้เพื่อนๆได้บ้าง และเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆที่เพิ่งเข้ามาใหม่ว่าชีวิตเรามีวันหมดหนี้ครับ
เมื่อ 5 ปีก่อน ผมก็เข้ามาที่นี่ด้วยความสิ้นหวัง ไล่อ่านกระทู้ไม่หลับไม่นอน อ่านกรณีตัวอย่างของสมาชิกและกรรมการชมรมหลายๆท่านที่หมดหนี้ได้ ก็ได้แต่คิดว่าเราจะทำได้ไหมนะ ตอนนั้นมันมืดมนเหลือเกิน แต่ก็พยายามตั้งสติและวางแผนเพื่อปลดหนี้ โดยใช้แนวทางที่ชมรมได้แนะนำไว้ โดยหลักๆทีทำก็ตามที่ส่วนใหญ่จะทราบกันอยู่แล้ว
1. หยุดใช้บัตรทุกใบ หยุดจ่ายทุกบัตร
2. วางแผนรายรับรายจ่าย ทำบัญชีครัวเรือน
3. เดินไปบอกเมีย ยอมให้เมียด่า แล้วมาช่วยกันคิด
4. หาทางประหยัด เก็บเงิน
แรกๆก็ยังมึนๆงงๆ เหมือนหลายๆท่าน ก็พยายามอดทนไป โดนโทรทวงตลอด แต่ผม "รับทุกสายที่โทรมา" คุยกับเค้าดีๆ ด้วยความสุภาพ เข้าใจว่าเค้าทำหน้าที่ของเค้า แต่ละคนก้โตมาไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะโชคดี ไม่เจอเจ้าหน้าที่ที่กักขฬะมากมายอะไร ยังอยู่ในเลเวลที่อดทนได้ และโชคดีที่พี่ๆกรรมการชมรมรุ่นก่อนๆ ช่วยกันผลักดันจน พรบ.ทวงหนี้ออกมา เรารุ่นหลังๆเลยได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างมาก ประเภทแบบโทรมาประจานที่ทำงานก็ไม่เจอกันแล้ว
พูดถึงเรื่องการประจาน หลายคนอายที่จะให้คนอื่นรับรู้ว่าเป็นหนี้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนเป็นข้าราชการ หรือ ระดับผู้บริการ ก็อาจจะมีผลกระทบกับหน้าที่การงาน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือ ต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อนครับ ถ้ามันปกปิดไมไ่ด้จริงๆ ก็ยืดอกยอมรับ และแสดงให้ทุกคนเห็นว่า เรายอมรับความผิดพลาด และพร้อมที่จะแก้ไข ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ ตราบใดที่คุณยังจมไม่ลง การแก้ปัญหาจะยากขึ้น ถ้าคุณอายที่จะห่อข้าวไปกินเพื่อประหยัดเงิน เลิกกินกาแฟแพงๆ มากินกาแฟชงไมไ่ด้ คุณจะไม่มีทางแก้ปัญหาได้ง่ายๆ
หลังจากอดทนไปได้สักพัก ธนาคารต่างๆก็เริ่มเสนอ hair cut มาให้โดยที่เราไม่เคยถาม เราไม่เคยแสดงออกให้เจ้าหน้าที่รู้ว่า เรารู้จักการ hair cut การแกล้งโง่บางทีก็ช่วยได้เยอะ ธนาคารแรกที่ผมปิดได้คือ kbank ข้อเสนอ 50% เก็บเงินได้พอ เลยปิดจบไป กำลังใจเริ่มมา ส่งขั้นต่ำมาหลายปีหนี้ไม่ลด หยุดจ่ายเก็บเงินไม่กี่เดือน ปิดหนี้ได้แล้ว
หลังจากนั้นก็เดินหน้าเต็มตัว ประหยัด เก็บเงิน เจรจาต่อรอง ไล่ปิดไปตามที่ไหว แต่มีประเด็นนึงที่เดี๋ยวจะมาเน้นย้ำว่าหากอยากหมดหนี้ต้องทำอย่างไรอีกทีช่วงท้ายๆ
ผ่านไปสักพัก ก็เจอข้อเสนอจาก citi bank ตามที่ post ถามในกระทู้นี้ ก็ตกลงรับข้อเสนอ ก็ผ่อนไปทุกเดือนจนครบ 1 ปี ทาง citibank ก็ส่งสรุปมาให้ ก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่แจ้งไว้ ดอกหยุดวิ่งตลอด 1 ปี เงินต้นที่ส่งไปทุกเดือนก็ไปตัดยอดให้ พร้อมข้อเสนอส่วนลด 40% จากยอดหนี้ที่เหลือ พอดีมีเงินพอ ก็เลยตกลง ปิดจบกันไป ของ citibank จะให้เรา fax เอกสารไปขอส่วนลดนะครับ เจ้าหน้าที่จะเอาไปเสนอหัวหน้าเค้าอีกที แรกๆก็ลังเล ไม่กล้า fax ไป กลัวจะมีลูกเล่น แต่สุดท้ายก็ได้ส่วนลดตามข้อเสนอ และได้เอกสารหมดภาระหนี้เมื่อชำระเงิน ในเครดิตบูโรก็แสดงสถานะถูกต้อง
มีโดน scb และ ktc ฟ้องไล่ๆกัน หลังจากหยุดไปไม่ถึงปี และก็เหมือนทุกคนล่ะครับ กลัว ลนลาน ไม่รู้จะทำไง มาไล่อ่านกระทู้อีกรอบ ตัดสินใจไปศาลตามที่ชมรมให้แนวทางไว้ ของ scb ไปเจอทนายโจทย์ยื่นขอเสนอส่วนลดมาให้ แต่ยอดสูงจ่ายไม่ไหว เลยขอศาลเลื่อน เพื่อไปเจรจา ศาลเลื่อนให้ประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นธนาคารก็โทรมาเจรจา ก็พยายามต่อรอง ธนาคารก็ยอมลดให้บ้าง แต่เงินก็มีไม่พอ แต่ส่วนลดก็เยอะมาก สุดท้ายตัดสินใจเดินไปคุยกับเจ้านาย ขอกู้เงินจากเจ้านายในส่วนที่ขาด เจ้านายบอกให้กู้จากบริษัทแล้วกัน ถือว่าเป็นสวัสดิการใหม่ของบริษัท คือ เงินกู้ยืมฉุกเฉิน เพราะผมเป็นพนักงานคนแรกของบริษัทและอยู่มานานตั้งแต่ตั้งบริษัท เจ้านายเลยไว้ใจ ผมก็ให้บริษัทหักเงินเดือนใช้คืนบริษัทไปเลย เท่ากับได้เงินกู้แบบไม่มีดอกเบี้ย และผ่อนคืนเดือนละไม่มาก ผมคิดแล้วว่าถ้าให้ศาลพิพากษา ก็อาจจะไม่ได้ส่วนลดเท่านี้ และสุดท้ายก็โดนบังคับคดี หักเงินเดือนอยู่ดี หรือเลวร้ายกว่านั้นก็ยึดทรัพย์ขายทอดตลาด วิธีนี้ก็น่าจะดีกว่า สุดท้ายก็ปิดจบไปอีกราย
ส่วน ktc จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยร่วมกับศาล ผมก็ไป เจอเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายร้อยชีวิต ข้อเสนอที่ได้คือ ให้ผ่อนยอดต่ำๆ แบบขั้นบันได 3 ปี โดยให้เราเสนอว่าเราไหวแค่ไหน ผมคำนวณแล้วลองเสนอไป ธนาคารก็ยอมรับข้อเสนอ ก็เลยตัดสินใจประนอมหนี้ไป เพราะผ่อนต่อเดือนน้อยมาก พอผ่อนครบ 3 ปี ทางธนาคารก็เสนอ hair cut มาให้ ถามว่าไหวไหม ไม่ไหวจะให้ทำสัญญาผ่อนต่อ ตอนนั้นเตรียมเงินเก็บไว้แล้ว เลยทำ hair cut ปิดจบกันไป
ช่วงระหว่าง 3 ปีที่ผ่อน ktc และบริษัทหักเงินเดือนส่วนที่กู้บริษัทมา ก็ไล่ hair cut ธนาคารอื่นๆ เท่าที่ไหวและเจรจาได้ ก็ไล่ปิดมาเรื่อยๆ ทีละใบๆ
สุดท้ายเหลือเจ้าเดียว คือ กรุงศรี สไมล์แคช ซึ่งพอเช็คเครดิตบูโร ก็ต้องแปลกใจ เพราะไม่มีรายการนี้ติดอยู่ในรายการมานานแล้ว พอสืบไปก็พบว่า ธนาคารโอนหนี้ให้บริษัทลูก คือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ มาดูแลแทน เพื่อไม่ให้หนี้ของเราเป็นหนี้เสีย และธนาคารไม่ต้องกันเงินสำรอง เราก็โอเคในเครดิตบูโรเราไม่มีหนี้แล้ว แต่ตัวแทนกรุงศรีก็โทรทวงเรื่อยๆมาเรียงๆ แต่ไม่เคยให้ส่วนลดมากๆ แบบเจ้าอื่น แถมดอกเบี้ยติดจรวดมาก ก็พยายามเจรจามาตลอด เพราะอยากเป็นไทแก่ตัว สุดท้ายโดนฟ้อง จากยอดตอนที่หยุดประมาณ 190,000 แต่ยอดที่ฟ้องรวมดอกเบี้ยคือเกือบ 500,000 ระยะเวลาจากที่หยุดจ่ายถึงวันฟ้องคือ 5 ปี 5 เดือน เพื่อนๆ เห็นอะไรไหมครับ ระยะเวลาคือเกิน 5 ปี ผมเลยมาไล่เช็คจากกระทู้ท่านประธานเรื่อง กฏหมาย พบว่าอายุความสินเชื่อบุคคลคือ 5 ปี อันนี้เกิน 5 ปีมาหลายเดือน คดีหมดอายุความแน่ๆ (อ่านผ่านๆตาตั้งแต่ที่เข้าชมรมมาใหม่ๆ พอเจอจริงๆก็พอนึกออก เลยมาไล่ดู โชคดีที่อ่านทุกกระทู้ในห้องความรู้และกฏหมาย ไม่งั้นคงมืดแปดด้าน) ทีนี้ทำยังไงดีล่ะ ใน Hot line กรรมการหลายๆท่าน ก็ไม่รับ Hot line แล้ว สุดท้ายตัดสินใจโทรหาคุณอาไพโรจน์ เหมือนสวรรค์โปรดคุณอาใจดีมากๆ แม้จะอายุมากแล้วแต่คุณอายังเก่งมากๆ คุณอาให้คำแนะนำต่างๆเป็นอย่างดี และคุณอายินดีจะเขียนคำให้การต่อสู้คดีให้ ให้ส่งสำเนาคำฟ้องไปให้ ผมก็รีบส่งไป เชื่อไหมว่าแค่ 2-3 วัน คุณอาก็ส่งคำให้การ และคำแนะนำต่างๆ ขั้นตอนการสู้คดีมาให้ โดยที่คุณอาไม่เคยพูดถึงค่าใช้จ่ายเลยสักบาท เป็นฝ่ายผมที่เกรงใจทนไมไ่หวเลยโทรไปถาม คุณอาบอกว่าแล้วแต่คุณเถอะ คุณอาเต็มใจช่วย ผมก็เลยโอนเงินให้คุณอาจำนวนหนึ่งเพื่อตอบแทนบุณคุณของคุณอา
แต่ก่อนจะไปขึ้นศาล ผมไม่มั่นใจว่าจะสู้คดีเองคนเดียวได้ไหม และโชคดีได้เจอน้องทนายคนนึงยินดีช่วย โดยคิดค่าทนายไม่แพงมาก ผมพอจ่ายไหว เลยตัดสินใจให้น้องทนายช่วย น้องบอกว่ามีคำให้การจากคุณอาไพโรจน์แล้ว งานเค้าก็ง่ายขึ้น และคดีหมดอายุความจริง ไม่น่ามีปัญหาอะไร ถึงวันขึ้นศาลผมก็ไปกับน้องทนาย ยื่นต่อสู้คดี ปรากฏว่าทนายฝ่ายโจทย์ไม่คิดว่าจะมีคนสู้คดี เค้าเลยจะขอเลื่อน แต่ศาลบอกว่าประเด็นที่ต้องพิจารณามีแค่ว่าหมดอายุความจริงหรือไม่ จึงไม่ให้เลื่อน ให้สืบพยานเลย ก็เลยเข้าทางเรา เพราะเรามีข้อมูลหลักฐานที่คุณอาไพโรจน์เตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี เราก็ให้ปากคำไปตามนั้น แต่ก็มีความเห็นของผู้พิพากษาที่ทำให้เรากับทนายกังวลใจ เราก็โทรไปเล่าให้คุณอาไพโรจน์ฟัง คุณอาก็ให้กำลังใจและรอดูคำตัดสิน ศาลนัดฟังคำพิพากษาหลังจากนั้นประมาณเดือนนึง ก็นอนรอด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ สุดท้ายศาลพิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากคดีหมดอายุความ เราดีใจมาก รู้สึกว่าคำพิพากษาเป็นเหมือนการปิดท้ายเส้นทางการใช้หนี้ที่แสนยาวนาน เรารีบโทรไปเล่าให้คุณอาไพโรจน์ฟัง คุณอาดีใจด้วย และขอให้ส่งสำเนาคำพิพากษาไปให้คุณอาไว้เป็นข้อมูล เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกคนอื่นในอนาคต สิ่งหนึ่งที่ฟังจากคุณอาแล้วเรารู้สึกเศร้าใจคือ คุณอาบอกว่า ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่โทรกลับมาเล่าให้ฟัง ส่วนใหญ่พอได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว ก็ไม่เคยติดต่อกลับไป เหมือนแกส่งขึ้นฝั่งแล้วก็หายไปหมด ก็อยากฝากเพื่อนสมาชิกคนอื่นนะครับ ถ้าขอความช่วยเหลือจากคุณอาแล้ว ก็ตอบแทนแกบ้าง โทรกลับไปเล่าให้แกฟังบ้างว่าผลเป็นยังไง แกจะมีความสุขมากๆ เมื่อรู้ว่าแกช่วยเราให้พ้นทุกข์ได้ อยากให้นึกถึงบุญคุณของกรรมการชมรมและสมาชิกหลายๆท่านที่ช่วยกันในชมรมนี้ ทุกคนทำด้วยจิตอาสา หากไม่มีชมรมนี้ ผมเองก็คงยังวนเวียนในวังวนหนี้ไม่รู้จบ
สำหรับผม ตอนนี้ก็หมดภาระแล้ว ก็รอดูว่ากรุงศรีจะอุทธรณ์หรือเปล่า ในความเป็นจริง ผมก็ยังคงเป็นหนี้กรุงศรีอยู่ ในความรู้สึกก็อยากจะชำระคืน แต่สิ่งที่ธนาคารทำก็โหดร้ายไปหน่อย โอนหนี้ไปในราคาถูกๆ แล้วให้บริษัทลูกมาไล่บี้เรา โดยที่ไม่มีมาตรการผ่อนปรนอะไร เพราะธนาคารไม่ต้องกันเงินสำรอง ก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนลด hair cut ให้เรา เราจ่ายไม่ไหว ดอกก็วิ่งไปเรื่อยๆ จนถมต้นไปหลายเท่า ดึงเวลาไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ฟ้องเอา วันที่เราไปขึ้นศาล มีคดีกรุงศรีที่บัลลังค์เดียวกันอีก 5-6 คดี แต่มีแค่คดีเราคดีเดียวที่ไปศาล ที่เหลือไม่ไปศาล ผลลัพธ์ก็คือศาลพิพากษาตามโจทย์ฟ้อง คิดดูว่าถ้าคดีหมดอายุความเหมือนผม ธนาคารจะได้กำไรมหาศาลแค่ไหน เงินต้น 190,000 แต่ธนาคารได้ดอกพร้อมต้นไปเกือบ 500,000 6-7 คดีพลาดแค่คดีผมคดีเดียว พอคิดแบบนี้ ผมก็เลยคิดว่าผมไม่ได้โกงธนาคาร เพราะก็ต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฏหมาย คุณโหดร้าย ดึงเวลาเพื่อจะได้ดอกเบี้ยเยอะๆ คุณพลาดเรื่องอายุความ มันก็คงแฟร์ที่เราจะไม่จ่ายคืนด้วยยอดที่คุณฟ้องเรา
อ่านมายาวมากแล้วผมขอสรุปข้อคิดเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ
1. ทุกคนมีปัจจัยไม่เหมือนกัน อย่าเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น หาแนวทางของตัวเองให้เจอ สิ่งที่ชมรมให้เป็นเพียงแนวทาง ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกคน เราต้องรู้จักคิดและทำความเข้าใจกับแนวทาง แล้ววางแผนของตัวเองตามสภาพปัจจัยของตัวเอง
2. ถ้าประหยัดที่สุดแล้ว ยังเก็บเงินใช้หนี้ไม่ได้ ต้องหาวิธีหารายได้เพิ่ม อย่าพูดว่าไม่มีความรู้ ไม่มีทุน ไม่มีเวลา ไม่รุ้จะไปทำอะไร ผมเคยฟัง money coach เล่าเรื่องคนที่มาปรึกษาเค้า ตอนที่มาปรึกษาเค้าก็อ้างเหมือนที่ผมบอกไป coach เลยบอกว่า งั้นคุณก็ไม่มีทางหมดหนี้ ผ่านไป 3 เดือน coach มาเจอเค้าอีกครั้ง ตอนนี้เค้าเริ่มใช้หนี้ได้แล้ว coach ถามว่าคุณเอาเงินมาจากไหน เค้าบอกว่าหลังจากไปนอนคิดอยู่หลายวัน สุดท้ายเค้าก็หาทางออกได้ โดยการที่เค้าไปเดินถามเพื่อนที่ทำงานว่าพรุงนี้ใครอยากกินกระเพราไข่ดาวบ้าง แล้วเค้าก็เก็บเงินคนที่ต้องการมา ตอนเย็นก็เอาเงินที่เก็บมาไปซื้อหมู ไข่ กระเพรา มาทำข้าวกล่องไปส่งให้เพื่อนๆที่ทำงานในวันรุ่งขึ้น ทำแบบนี้จนเริ่มเก็บเงินใช้หนี้ได้ และมีเงินไว้ลงทุนต่อไป เงินลอยอยู่ในอากาศ รอให้เราไปคว้าครับ ผมเองถ้าไม่รับงานฟรีแลนซ์มาทำ ก็ไม่มีทางหมดหนี้ได้ครับ ถ้ารายรับเท่าเดิม อีก 5 ปี ยังไม่รู้ผมจะหมดหนี้หรือเปล่าเลยครับ เวลามาเล่ามันฟังดูเหมือนง่าย แค่หยุดจ่าย แล้วเก็บเงินรอ hair cut ความเป็นจริงมันไม่ง่ายเลยครับ ยิ่งรายได้น้อยๆ จะเก็บยังไงให้ทัน hair cut สิ่งแรกที่ควรคิดหลังจากหยุดจ่าย ไม่ใช่ถามว่ากี่เดือนธนาคารจะให้ hair cut ต้องถามตัวเองครับ จะเอาเงินที่ไหนมาทำ hair cut ถ้าโอกาสมาถึงจริงๆ อยากหมดหนี้เร็ว ก็ต้องหาเงินให้ได้เยอะๆครับ
3. อย่ากลัวการโดนฟ้อง อย่ากลัวการไปศาล ศาลคือที่พึ่งของเราครับ ศาลจะให้ความยุติธรรมกับเรา สุดท้ายถ้าพิพากษามา แล้วเราไม่มีปัญญาจ่าย ตอนโดนบังคับคดี ศาลก็ให้เจ้าหนี้หักเงินเดือนได้ แต่ก็ต้องให้เรามีชีวิตต่อไปได้ด้วย หักได้สูงสุดก็ไม่เกิน 30% ยังเหลือเงินเดือนให้เราใช้จ่ายได้ ถ้าโดนฟ้องขึ้นมา มาปรึกษาเพื่อนๆในชมรมได้ครับ หรือปรึกษาคุณอาไพโรจน์ ชีวิตมีทางออกแน่นอนครับ ศาลไมได้น่ากลัวอย่างที่คิด
4. ยอมรับความจริงให้ได้ครับ เราเป็นหนี้จริงจะด้วยสาเหตุอะไร เราก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ อย่าโทษคนอื่น ใช้สติแก้ปัญหา
5. เป็นหนี้ ก็มีชีวิตที่ดีได้ครับ ผมทำงานหนักเพื่อหาเงินใช้หนี้ นอนวันละ 2-3 ชั่วโมงก็เคย แต่พอหนี้มันลดลง เราก็จะค่อยสบายขึ้น มีความสุขมากขึ้น ตลอด 5 ปี ผมไม่เคยต้องให้ลูกอด ยังให้ลูกเต็มที่เหมือนเดิม เราแค่ต้องทำงานหนักขึ้น ผมยังส่งให่พ่อแม่ใช้เท่าเดิม ไม่เคยลดลง พ่อกับแม่ก็อวยพรทุกครั้งที่โอนเงินไปให้ ผมคิดเองว่าผลจากความกตัญญูนี้แหล่ะ ที่ทำให้เราผ่านปัญหาไปได้ ตั้งแต่เริ่มหยุดจ่ายเพื่อเก็บเงินใช้หนี้ ผมมีงานพิเศษเข้ามาตลอดไม่เคยขาด จนทำคนเดียวไม่ไหว ก็ดึงเพื่อนๆ น้องๆมาช่วยกัน จนตอนนี้ออกมาเปิดบริษัทของตัวเองได้แล้วครับ
ก็น่าจะครบถ้วนทุกประเด็นที่อยากมาเล่าให้เพื่อนๆฟังแล้วนะครับ ถ้าเพื่อนๆท่านไหนสงสัยอะไร หรือ มีคำถาม หรือ อยากปรึกษา ถ้าคิดว่าผมช่วยได้ ผมยินดีนะครับ ผมอาจจะไม่ได้เข้ามาทุกวัน แต่จะพยายามเข้ามาเป็นประจำ เพื่อตอบแทนบุญคุญของชมรมแห่งนี้ และกรรมการทุกๆรุ่น ทุกๆท่านครับ
สำหรับท่านที่ยังเป็นหนี้ หรือเพื่อนสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ชีวิตเรามีทางออกครับ หนทางนี้พิสูจน์กันมาหลายรุ่น หลายยุค หลายสมัยแล้วว่ามันได้ผล แก้ปัญหาได้ แต่ต้องมีสติและรู้จักแก้ปัญหา หนี้จะเยอะแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เรามีความสุขได้แม้มีหนี้ เรามีชีวิตที่ดีได้แม้มีหนี้ วันที่เราจะเป็นไทแก่ตัว มันมีอยู่จริงครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณชมรมแห่งนี้ กรรมการทุกๆรุ่น ทุกท่านๆ เพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านที่ได้ช่วยเหลือกันมา จนมีวันที่ผมได้มีโอกาสพูดว่า ผมจบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้แล้วครับ "โรงเรียนหมดหนี้"
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา