ปรึกษาโดน UOB ฟ้องครับ

พอดี พี่ชายมีปัญหาบัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลของ UOB
ทั้งสองบัญชีหยุดจ่ายไปเมื่อต้นปี 55 ล่าสุดวันที่ จนท.โทรมาบอกว่าฟ้องแล้ว
นัดขึ้นศาลเดือน ธ.ค.55 ยอดตอนหยุดทั้ง 2 บัญชีประมาณ 320000 ยอดฟ้อง 400000 บาท

เจ้าหนี้รายนี้ เคี่ยวน่าดู ขอ HC ให้จ่ายยอดเดียว 340,000 (ถ้ามีเงินขนาดนี้ คงไม่หยุดจ่ายหรอก)
กะว่าจะไปขึ้นศาล ขอเจรจาผ่อนชำระดู

ขอคำแนะนำหน่อยครับ
ความเป็นไปได้ในการเจรจากับเจ้าหนี้รายนี้ ด้วยยอดหนี้ประมาณนี้ น่าจะผ่อนได้กี่เดือนครับ
จะได้เตรียมตัวไปเจรจาถูก ความสามารถในการผ่อนได้แค่เดือน 10000 มีความเป็นไปได้มั้ยครับ

ถ้ามีหนี้แค่เจ้านี้เจ้าเดียว วันไปศาลก็ลองฟังข้อเสนอของเจ้าหนี้ดูนะครับ
แล้วก็ลองเสนอส่วนที่คุณไหวด้วย....

อ่านครับ...ทำการบ้านก่อนไปศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=9240&Itemid=52

จ่ายตามยอดฟ้อง ดอกเบี้ย 13 เปอร์เซ็นต์ ผ่อน 12 งวดครับ แบบ เบสิกเลยครับ โดนมาแล้วจ้า

omega_t เขียน: จ่ายตามยอดฟ้อง ดอกเบี้ย 13 เปอร์เซ็นต์ ผ่อน 12 งวดครับ แบบ เบสิกเลยครับ โดนมาแล้วจ้า

ยอดฟ้องเท่าไหร่ครับ
เท่าที่อ่านข้อมูลเก่า ๆ ส่วนใหญ่ยอดประมาณแสนนึง จะยอมให้ผ่อน 12 งวด
แต่บางคนยอดหลายแสน ก็ยอมให้ผ่อน 18 งวด
แต่ใจลุ้นอยากได้ 36 งวด ไม่รุ้จะมีทางเป็นไปได้หรือเปล่า

การต่อรองเป็นไปได้ทุกอย่าง ให้คำนึงถึงความพร้อม

ขีดความสามารถของตัวเองค่ะ แล้วเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองค่ะ

ถ้าคุณอยากได้ 36 งวด หรือมากกว่า คุณควรตั้งทนายความ สู้คดีครับ
1 ยิ่นคำให้การไปเลย คิดดอกเบี้ยผิดไปก่อน
2 คำฟ้องคลุมเครือ
3 ไม่เป็นธรรม ตาม พรบไม่เป็นธรรม 2540 หาอ่านดู
4 อื่นๆ มีอีก

ถ้าคุณไม่ตั้งทนายความ (ไม่มีเพื่อนคู่ใจตามกฏหมาย) ยืดได้อย่างมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 งวด
และ ผ่อนแค่ 12 งวด แน่นอน ทนาย UOB ไม่ค่อยมีอำนาจต่อรองใดๆ
ทำตาม นโยบายของ UOB อย่างเดียว จำไว้

การตั้งทนาย เป็นการยืดเวลาออกไป และกลับไปเจรจารอบนอก กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร
ต่อรองได้แน่นอน แต่การต่อรองในศาล สำหรับ UOB ค่อนข้างยาก
ยกเว้นปิดยอด ถ้าตั้งใจปิดยอด ยืดได้หลายงวดแน่นอน

เช่นถ้าคุณมีเงิน 280,000 บาท อยู่ในมือ คุณยืนกรานปิดยอดอย่างเดียว

รับรองว่า ต่อรองสนุกแน่

somcha78 เขียน: ถ้าคุณอยากได้ 36 งวด หรือมากกว่า คุณควรตั้งทนายความ สู้คดีครับ
1 ยิ่นคำให้การไปเลย คิดดอกเบี้ยผิดไปก่อน
2 คำฟ้องคลุมเครือ
3 ไม่เป็นธรรม ตาม พรบไม่เป็นธรรม 2540 หาอ่านดู
4 อื่นๆ มีอีก

ถ้าคุณไม่ตั้งทนายความ (ไม่มีเพื่อนคู่ใจตามกฏหมาย) ยืดได้อย่างมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 งวด
และ ผ่อนแค่ 12 งวด แน่นอน ทนาย UOB ไม่ค่อยมีอำนาจต่อรองใดๆ
ทำตาม นโยบายของ UOB อย่างเดียว จำไว้

การตั้งทนาย เป็นการยืดเวลาออกไป และกลับไปเจรจารอบนอก กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร
ต่อรองได้แน่นอน แต่การต่อรองในศาล สำหรับ UOB ค่อนข้างยาก
ยกเว้นปิดยอด ถ้าตั้งใจปิดยอด ยืดได้หลายงวดแน่นอน

เช่นถ้าคุณมีเงิน 280,000 บาท อยู่ในมือ คุณยืนกรานปิดยอดอย่างเดียว

รับรองว่า ต่อรองสนุกแน่

ไม่ทราบว่า การตั้งทนายสู้คดีเกี่ยวอะไรกับการเจรจาต่อรอง

ผ่อนจ่ายค่ะ

เราสู้คดีเมื่อ 1 เจ้าหนี้ฟ้องผิด 2 เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยเกินจริง 3 เจ้าหนี้ฟ้อง

เมื่อหมดอายุความในการยื่นฟ้อง แต่ผลของการสู้คดีขึ้นอยู่กับการพิจารณา

ของศาลค่ะ

ส่วนเรื่องต่อรองขอผ่อนในกรณีที่ไม่พร้อมจะปิดจบงวดเดียวนั้น ขึ้นอยู่กับ

นโยบายของเจ้าหนี้แต่ละช่วงเวลา กรุณายังผสมกันให้เข้าใจผิดค่ะ

คุณอาจสู้คดี เพื่อซื้อเวลา เก็บเงิน หรือ ต่อรองใหม่กับเจ้าหนี้ แต่ขอ

คำนึงด้วยว่า การสู้คดีหรือการตั้งทนายมีค่าใช้จ่าย ช่วยมองความคุ้มและ

ความจำเป็นที่ต้องกระทำหรือไม่ด้วย

ในส่วนตัว สำหรับ มารยู ไม่ได้เขี้ยวขนาดเคี้ยวไม่ลง อยู่ที่เทคนิคในการ

เจรจาค่ะ ทนายทุกเจ้าไม่มีสิทธิลดหนี้ใดๆ เขาแค่รับหน้าที่ฟ้องและบาง

คนอาจรับหน้าที่มาบอกข้อเสนอ แต่เขาไม่มีอำนาจลด หรือ ปรับข้อเสนอ

เองได้ค่ะ

เรื่องผ่อนยาวหรือสั้น ทุกเจ้าหนี้มีให้ค่ะ แต่คุณต้องเข้าใจด้วย ยิ่งลากยาว

เจ้าหนี้ก็กินดอกยาวด้วยค่ะ และอาจไม่ลดเลยจากยอดฟ้อง ทั้งลดทั้งผ่อน

ในเวลาเดียวกัน คงได้ไม่เกิน 6 งวด อยากลดมากก็ไม่มีผ่อน นี้คือสัจจธรรม

จะเอาแต่ได้ มักไม่มีค่ะ

ส่วนการยึดเวลา เราทำได้ด้วยการเลื่อนนัดศาล ด้วยปากเปล่าอาจได้เลื่อน

ไม่เกิน 2 เดือน แต่หากยื่นคำให้การ บางที่อาจเลื่อนได้ 4-5เดือน แต่บางที

ได้แค่ 3เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณงานของศาลแต่ละแห่ง

หากคุณไม่มั่วแต่รอคำตอบที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน คุณคงได้

คำตอบจากห้องรู้ทันฯ ไปนานแล้วค่ะ

สำหรับ UOB ข้าพเจ้ามีประสบการณ์มาโดยตรง จึงตอบได้และรู้จริง
เงื่อนไขต่างๆที่กล่าวมา มันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา เหตุการณ์เหมือนกันทุกอย่าง
แต่คนละปี หรือ พ ศ เช่น ยอด H/C บางทีก็ไม่เหมือนกัน
ยอดเหมือนกัน ใช้บัตรมาหลายปีเหมือนกัน ค้างหนี้มาด้วยเวลาที่เท่ากัน

ก็คงจะตอบว่า เป็นนโยบายของแต่ละที ไม่มีใครเถียง

การเจรจาต่อรอง ถ้าเจรจาเอง โดยไม่ยื่นคำให้การ โอกาสในการยืดเวลา
มันไม่มากแน่นอน ถ้าทนายโจทก์คัดค้าน การยืดเวลา คงลำบาก ยกเว้นมีเหตุผล
ซึ่งเหตุผล บางครั้ง ทนายความก็ช่วยด้วย

เรื่องของเรื่อง ถ้าอยากให้ศาลตัดสินเลย ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว
แต่ถ้ามีหลายบัตรมาก โอกาสที่จะไปสู่การยึดทรัพย์ มันก็มาก ก็เท่านั้น

วัตถุประสงค์ ในการตั้งทนาย คือ การยื่นคำให้การ และยืดคดี ออกไป เพื่อหาเงิน มาปิด
หรือ ต่อรองส่วนลดให่มากสุด นานสุด

เรื่องดอกเบี้ย ข้าพเจ้า คิดว่า ถ้าปิดได้ ดอกเบี้ยไม่มีอยู่แล้ว

ถ้าปิดไม่ได้ ดอกเบี้ย ก็ 7.5 - 15 อยู่ระหว่างนี้แหละ

กี่งวด แล้วแต่นโบาย หรือ ศาลตัดสิน

สำหรับ UOB ข้าพเจ้า ยืดได้ 15-16 เดือน นับจากฟ้อง กรกฏาคม 2554
และปิดได้ และถอนฟ้องในที่สุด (ยอด ณ ฟ้อง 150,000, ปิด 100000 ผ่อน 4 งวด)

สำหรับ รายอื่นๆ ไ่ม่มีการฟ้อง (3-4 ราย) เพราะ ข้าพเจ้าใช้วิธีเจรจา ตลอด ไม่หนีหายไปไหน
หยอดได้ หยอด ไม่มาก แค่หลักร้อย รอเวลาปิดอย่างเดียว
บางราย เลิกคิดดอกเบี้ยไปเลย ผ่อนมาเถอะ มียอดให้เห็นตลอด (ใช้สำหรับ รายที่ไม่เกิน 100000)

จากมรสุม ที่ทะเลาะกันตลอด ในช่วงหยุดหนี้ใหม่ๆ ประมาณปีแรก
กลายมาเป็น มิตรที่คุยกันรู้เรื่อง สุภาพต่อกัน เมื่อคุยกัน อาจจะเป็นเพราะ คนละฝ่าย กับช่วงหยุดหนี้ใหม่
ฝ่ายนั้น บู๊อย่างเดียว พอเปลี่ยนฝ่าย ก็อีกแบบ ก็เข้าใจ แต่สิ่งหนึ่ง คือ

ความจริงใจ ที่จะชำระหนี้ คืนมากว่า

นี่คือ ประสบการณ์จริง ในปี 2555 ไม่ใช่ ปี 2547-2554


ปัจจุบัน ข้าพเจ้าก็ยังเป็นหนี้ อยู่อีกมาก แต่เป็นแบบ ยังคุมได้ แต่ในที่สุด จะยกเลิกการใช้บัตรให้หมดทุกใบ ทั้งบัตรปกติด้วย ก็จะเลิกให้หมด

อยากรบกวนคุณ SOMCHA78 ช่วยแชร์วิธีการรับมือหรือ take care เจ้าหนี้อย่างไรบ้าง
จะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิก จะได้นำไปปรับใช้กลยุทธ์ดังกล่าว ขอบคุณครับ

somcha78 เขียน: สำหรับ UOB ข้าพเจ้ามีประสบการณ์มาโดยตรง จึงตอบได้และรู้จริง
เงื่อนไขต่างๆที่กล่าวมา มันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา เหตุการณ์เหมือนกันทุกอย่าง
แต่คนละปี หรือ พ ศ เช่น ยอด H/C บางทีก็ไม่เหมือนกัน
ยอดเหมือนกัน ใช้บัตรมาหลายปีเหมือนกัน ค้างหนี้มาด้วยเวลาที่เท่ากัน

ก็คงจะตอบว่า เป็นนโยบายของแต่ละที ไม่มีใครเถียง

ตอบ คุณ somcha78 สิ่งที่คุณนำเสนอนั้น ไม่เถียงว่า ถูก ทุกอย่าง
ขึ้นกับนโยบายแบงค์ / สนง ทวงหนี้ / เวลา / คนทวงหนี้ ถึงบอก
ว่า หนี้เหมือนกันอาจจบไม่เหมือนกัน สิ่งที่ให้ คือ แนวทางนำไป
ปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ใช่ กฎระเบียบต้องปฎิบัติตายตัว


การเจรจาต่อรอง ถ้าเจรจาเอง โดยไม่ยื่นคำให้การ โอกาสในการยืดเวลา
มันไม่มากแน่นอน ถ้าทนายโจทก์คัดค้าน การยืดเวลา คงลำบาก ยกเว้นมีเหตุผล
ซึ่งเหตุผล บางครั้ง ทนายความก็ช่วยด้วย

โดยปกติ นัดแรก ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถเลื่อนนัดได้ และฝ่ายแบงค์มักยินยอม
ยกเว้น ไปเจอทนายที่เขี้ยว ไม่ชอบยื้อ อยากปิดเร็วๆ แต่หากเรามุ่งมั่นที่จะ
เลื่อนย่อมทำได้แน่นอน เพราะเป็นสิทธิของลูกหนี้ค่ะ



เรื่องของเรื่อง ถ้าอยากให้ศาลตัดสินเลย ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว
แต่ถ้ามีหลายบัตรมาก โอกาสที่จะไปสู่การยึดทรัพย์ มันก็มาก ก็เท่านั้น

วัตถุประสงค์ ในการตั้งทนาย คือ การยื่นคำให้การ และยืดคดี ออกไป เพื่อหาเงิน มาปิด
หรือ ต่อรองส่วนลดให่มากสุด นานสุด

เรื่องดอกเบี้ย ข้าพเจ้า คิดว่า ถ้าปิดได้ ดอกเบี้ยไม่มีอยู่แล้ว

ถ้าปิดไม่ได้ ดอกเบี้ย ก็ 7.5 - 15 อยู่ระหว่างนี้แหละ

กี่งวด แล้วแต่นโบาย หรือ ศาลตัดสิน

อันนี้ ขอแก้ไขค่ะ ศาลไม่มีอำนาจในการตัดสินเรื่อง กี่งวดค่ะ


สำหรับ UOB ข้าพเจ้า ยืดได้ 15-16 เดือน นับจากฟ้อง กรกฏาคม 2554
และปิดได้ และถอนฟ้องในที่สุด (ยอด ณ ฟ้อง 150,000, ปิด 100000 ผ่อน 4 งวด)

สำหรับ รายอื่นๆ ไ่ม่มีการฟ้อง (3-4 ราย) เพราะ ข้าพเจ้าใช้วิธีเจรจา ตลอด ไม่หนีหายไปไหน
หยอดได้ หยอด ไม่มาก แค่หลักร้อย รอเวลาปิดอย่างเดียว

เราไม่แนะนำเรื่อง จ่ายหยอด เพราะเสียดายเงินค่ะ และ
ไม่มีการรับปะกันจากเจ้าหนี้ว่า ทำแล้วไม่ฟ้อง ทำแล้วจะลดหนี้ได้ค่ะ

บางราย เลิกคิดดอกเบี้ยไปเลย ผ่อนมาเถอะ มียอดให้เห็นตลอด (ใช้สำหรับ รายที่ไม่เกิน 100000)


จากมรสุม ที่ทะเลาะกันตลอด ในช่วงหยุดหนี้ใหม่ๆ ประมาณปีแรก
กลายมาเป็น มิตรที่คุยกันรู้เรื่อง สุภาพต่อกัน เมื่อคุยกัน อาจจะเป็นเพราะ คนละฝ่าย กับช่วงหยุดหนี้ใหม่
ฝ่ายนั้น บู๊อย่างเดียว พอเปลี่ยนฝ่าย ก็อีกแบบ ก็เข้าใจ แต่สิ่งหนึ่ง คือ

ความจริงใจ ที่จะชำระหนี้ คืนมากว่า


ถูกต้องค่ะ ถ้าลูกหนี้แสดงเจตนาบริสุทธิ์ ว่า ไม่มีจริง ไม่หนี และอยากจ่ายเมื่อ
มีพร้อม เจ้าหนี้ทุกคนก็อยากคุยด้วยอย่างสันติค่ะ เขาได้เงิน เราได้จ่าย

นี่คือ ประสบการณ์จริง ในปี 2555 ไม่ใช่ ปี 2547-2554

สิ่งที่พวกเราชี้แนะ ก็มาจากประสบการณ์ปี 2555 เช่นกันค่ะ
เพราะ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการชำระหนี้ค่ะ

จึงต้องย้ำว่า อ่านแล้วต้องนำไปปรับใช้เอง ทุกอย่างต้องอยู่ในดุลยพินิจ
ของแต่ละคน ไม่มีหนี้ของคนหนึ่งจะเป็นแฝดกับอีกคนได้ 100 % ค่ะ
บางสิ่งที่คุณนำเสนอ เช่น เรื่อง ศาล อาจไม่ตรง ก็จะขอแก้ไขให้คนอื่น
เข้าใจหลักการจริงค่ะ




ปัจจุบัน ข้าพเจ้าก็ยังเป็นหนี้ อยู่อีกมาก แต่เป็นแบบ ยังคุมได้ แต่ในที่สุด จะยกเลิกการใช้บัตรให้หมดทุกใบ ทั้งบัตรปกติด้วย ก็จะเลิกให้หมด

ขอบคุณค่ะ

laserm500 เขียน: อยากรบกวนคุณ SOMCHA78 ช่วยแชร์วิธีการรับมือหรือ take care เจ้าหนี้อย่างไรบ้าง
จะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิก จะได้นำไปปรับใช้กลยุทธ์ดังกล่าว ขอบคุณครับ

ทำไมไม่หาอ่านในห้องนี้ค่ะ