และแล้ว หนี้บัตรก็เป็น 0

สวัสดี ทุกท่าน ผมได้รู้จักบอร์ดนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทำให้รู้ว่าสิ่งดีดี ที่สมาชิกได้มาเล่าสู่กันฟัง ทำให้คนที่เคยท้อแท้ หมดหวังกลับมามีชีวิตใหม่

เรื่องราวของผม เซลล์แมนผู้อยากจะมีหน้ามีตาในสังคม อยากจะมีบัตรพลาสติก หลายๆใบ ทำให้ชีวิตของผมดูดีใน 7, 8 ปีแรก เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ

ย้อนหลังไปราว ๆ 10 -11 ปีที่ผ่านมา ผมเป็นเซลล์ บริษัท แห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือน 10000 บาทถ้วน มีค่าน้ำมันรถที่เบิกได้ คือเดือนละประมาณ 6000 -8000 บาท เนื่องจากเงินเดือนของผมยังไม่ถึงเกณท์ที่จะทำบัตรเครดิตได้ ผมก็ไปยื่นขอสินเชื่อ ชื่อว่า "ง่ายซื้อ"

ก่อนหน้าที่ผมจะไปยื่นขอสินเชื่่อ ผมได้ไปซื้อหนังสือ ชื่อว่า ,,กู กู้เงิน,, แล้วอ่านอย่างตั้งใจ โดยที่ผู้เขียนได้สอนกลยุทธ์ต่างๆ ในการกู้เงิน แล้วยังบอกสรรพคุณ อีกว่าหากอ่านจบแล้ว กู้ที่ไหนก็ผ่าน ผมใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการฝึกวิชา กับอาจารย์ท่านนี้


และแล้วความฝันผมก็เป็นจริงครับ ผมได้สินเชื่อกับ "ง่ายซื้อ" แล้วชีวิตผมก็เปลี่ยนไป จากที่เงินขาดมือ ก็เริ่มคล่องตัวครับ แต่แล้วความที่ผมยังอยากได้ชีวิตที่มีหน้ามีตา ผมต้องมีบัตรเครดิตให้ได้ ผมเอาหนังสือ เล่มเดิม มาอ่านทบทวนดูครับ และแล้วสิ่งที่หนังสือเล่ในี้สอน มีประโยชน์จริง ๆ ครับ สอนถึงการแต่งบัญชี ยังไง ทำสลิปเงินเดือน ยังไง

แต่ก่อนบริษัท ผมจ่ายเงินเดือน เป็นเงินสดนะครับ ทำให้การยื่นเรื่องแต่ละที่ ยากมาก แต่แล้วหลังจากที่ผมยิ่งอ่าน ผมก็เริ่มกล้า

ผมแต่งบัญชีครับ เอาเงินเข้า-ออก โดยที่ยอดเงินเข้า ผมหาได้จากลูกค้าที่ซื้อเงินสดครับ เป็นเงินบริษัทฯ แต่ผมไม่ได้ยักยอกเงินนะครับ ผมเอาฝากไว้ประมาณ อาทิตย์นึงแล้วถอนคืน บริษัทฯ ครับ
อีกสเตปต่อมา ผมก็ทำสลิปเงินเดือนเองครับ ใส่ทุกอย่างเท่าที่่คิดได้ เช่น สลิปโบนัสประจำปี สลิปค่าน้ำมัน สลิปค่าคอมมิชชั่น

แล้วฝันของผม ก็เป็นจริงอีกครั้ง ผมมีบัตรเครดิต ใบแรก ชื่อ " ธนสินทรัพย์"
เป็นบัตรใบแรกที่ผมภูมิใจ และก็เป็น บัตรใบสุดท้ายที่ผม ยอมไปปลดหนี้เป็นเจ้าสุดท้าย เมื่อวานนี้ครับ

เรื่องราวของ เซลล์แมนผู้อยากจะมีหน้ามีตาในสังคม ยังไม่จบนะครับ
ไว้ผมจะทยอยเล่าสู่กันฟังครับ

สุดท้ายนี้ขอให้คนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตา หักบัตรพลาสติก ก็ขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ

กลับมาเล่าต่อนะคะ รอชมข้อมูลคะ เพิ่งหยุดจ่ายเดือนที่สอง ขอศึกษาข้อมูลอยากหมดหนี้คะ
(อ้อลืมเล่าให้ฟัง หยุดจ่ายเดือนแรก ยูโอบี โทรจิกทุกวัน พอสิ้นเดือนเราบอกยังไม่มีจ่าย เจ้าหน้าที่บอกว่าจะทำตามระบบของยูโอบีต่อไป เฮ้อ คงเจออีกเยอะแน่ ๆ เลย)

ลูกของคุณเกรสตัองน่ารักมากแน่คับ แล้วผมจาส่งรูปให้ดูครับ

มาต่อครับ

ความที่ผมรู้สึก คือบัตรของ ธนสินทรัพย์
มันไม่เท่ ใครๆ ก็มีได้ แม่บ้าน ภารโรง ก็มีได้
จึงเป็นที่มา. ของหนี้ก้อนเล็กๆของผมครับ ให้ทายเล่นๆ ว่าเท่าไหร่ครับ

ต่อครับ

หลังจากนั้นผมก็มีบัตรเครดิตเพิ่มอีกใบ เป็นของ เทสโก้ โลตัส จากเซลล์แมนกระจอกๆ ก็เริ่มมีอันจะกินมากขึ้น ผมก็ใช้จ่ายมากขึ้นตามไปด้วย

แล้วผมก็เริ่มตกเป็นเหยื่อ สินเชื่อและบัตรทั้ง 3 สถาบันเริ่มทำให้ผมรู้สึกว่าใช้คืนยังไงเงินต้นก็ไม่ลดลง ผมถึงต้องดิ้นรนเพื่อที่จะหาบัตรมาเพิ่มอีก

ในเวลานั้น เพื่อนของผมทำงานเป็นพนักงาน ขายบัตรเครดิต และได้ชักชวนให้ผมลองทำดู เนื่องจากการทำงานของเซลล์นั้น สามารถออกไปหาลูกค้าได้ทุกวัน ผมจึงไม่มีปัญหากับที่ทำงานเก่าครับ

แล้วความฝันครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นกับผม หลังจากที่ผมได้ลอง ขายบัตรเครดิต ผมรู้สึกว่า มันเป็นงานที่หาเงินง่ายมากครับ ยิ่งขยันก็ยิ่งได้ค่า คอมฯ มากขึ้น อาทิตย์นึงผมรับ ค่าคอมฯ 8000 บ้าง 12000 บ้างซึ่งรวมแล้วเฉลี่ยผมได้ค่าคอมฯ เดือนละไม่ต่ำกว่า สี่ถึงห้าหมื่นบาท จากครั้งนั้นทำให้ผมนึกฝันว่า ผมจะต้องมีบัตรเครดิตทุกทุก สถาบันให้ได้ ผมลองขายบัตรเครดิต ประมาณ4 เดือน ทำให้ผมรู้วิธีว่า จะสมัุครให้ผ่านต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ยากสำหรับ เซลล์แมนผู้อยากมีหน้ามีตาในสังคม อย่างผม

วิชาทั้งหมดที่ผมได้เรียนรู้จาก ภาคทฤษฎี คือ จากหนังสือ กู กู้เงิน และ จากภาคปฎิบัติ โดยการเป็นพนักงานขายบัตรเครดิต ทำให้ผมประสบความสำเร็จครับ(ซึ่งมันคือความหายนะที่ติดตัวผมตลอด 5 ปีที่ผ่านมา)

แล้วบัตรเครดิตที่ผมสมัคร แล้วได้ มีดังนี้ ครับ

บัตรเครดิต ซิตี้แบงค์เคลียร์
บัตรกดเงิน เรดดี้เครดิต
บัตรเครดิต HSBC MASTER
บัตรเครดิต HSBC VISA
บัตรเครดิต กรุงศรี VISA
บัตรเครดิต กรุงศรี HOMEPRO
บัตรเครดิต เซ็นทรัล MASTER GOLD
บัตรกดเงิน สแตนดาร์ดชาร์เตอร์


ผมทำได้แล้ว ผมรวยแล้ว

ต่อครับ

ตอนนี้ผมใช้ชีวิต สบายกว่าเดิมมาก อยากกินก็ได้กิน อยากใช้จ่ายอะไรก็ซื้อ อยากเที่ยวที่ไหนก็ไป

เพราะตอนนี้ผมเป็นผู้ดีแล้ว จากเซลล์ก๋องแก๋ง ก็กลายเป็นเซลล์ผู้ดีไปแล้ว


ผมมีความสุขสบายราว 2-3 ปีแรกเองครับ เพราะเงินเดือนประจำ รวมค่าน้ำมัน ค่าคอมฯ ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท ผมลืมเล่าให้ฟังในช่วงที่ผมขายบัตรเครดิตครับ ตอนนั้น ค่าคอมที่ผมได้ต่อเดือน ประมาณ 4-5 หมื่นบาท ผมได้จริงครับ ทำอยู่เกือบๆ ปี ก็เคยคิดจะออกจากงานประจำ มาขายบัตรเครดิตอย่างเดียว

แต่แฟนผมห้ามไว้ครับ เธอบอกว่า "มันไม่แน่ไม่นอน"
ตอนเป็นพนักงานขายบัตรเครดิต ผมใช้ชีวิต โลดโผนมากครับ กินเหล้า เที่ยวผู้หญิง กับเจ้านายที่ขายบัตรเครดิตครับ เงินที่ใช้จ่ายก็มาจากการ รูดบัตรเครดิต แล้ว ก็กดเงินจากบัตรกดเงินไปใช้คืนตอนสิ้นเดือน วนไปวนมา จนเงินในบัตรต่าง ๆ เริ่มจะเต็มครับ

การเอาตัวรอดของผมครั้งนี้ ผมต้องผ่านไปให้ได้ ผมตั้งความหวังไว้ครับ

แล้ววิธีเอาตัวรอดของผม ผมทำอย่างนี้ครับ ผมกดเงินจากบัตรกดเงิน 50000 บาท ขับรถ เดินทางผ่านพรมแดน ไทย-เขมร เข้าสู่เมืองอีกเมือง ซึ่งเปรียบได้กับเมือง แห่งคนบาป ในบ่อน มีทุกอย่าง ทั้งผู้หญิง ยาเสพติด ขึ้นอยู่ว่า คุณจะเลือกอะไร

ในบ่อนมีผู้คนมากหน้าหลายตา บางครั้งผมก็เห็น ลุงแก่ๆ อาม่า อากง ที่คุ้นตา มากี่ที ก็เจอแกทุกที ผมเคยคิดว่าคนพวกนี้เขาไม่กลับบ้านกันหรือไง บางคนก็เล่าว่า อาทิตย์นี้เสีย ไปหลาย ล้านบาท
ช่้วงนั้นผมไปบ่อน ประมาณ เดือนละ 2-3 ครั้งครับ ครั้งนึงก็ได้เสีย ประมาณ 50000 บ้าง 100000 บ้าง
ส่วนใหญ่จะเสียครับ เพราะตอนเล่นได้ คิดว่าเดี๋ยวก็ได้มากกว่านี้อีก ผมเคยเล่นได้สูงสุด ครั้งละ 80000 บาทครับ

หลังจากที่ลองเข้าบ่อนได้เกือบปี หนี้สินของผมก็พุ่งขึ้นเป็นเท่าตัว สุดท้ายผมบอกแฟนผมทั้งน้ำตาว่า
ผมไม่อยากอยู่แล้ว อยากตาย แฟนผมกลับบอกว่า แล้วมันจะผ่านไป เธอถามผมว่า ผมมีหนี้เท่าไหร่

...................................พวกคุณคิดว่าผมมีหนี้เท่าไหร่ครับ ..........................................

ไม่รู้ครับ รออ่านอยู่ครับ

กำลังเข้มข้นเลยค่ะ รอติดตาม

รีบมาเฉลยนะครับว่ามีหนี้เท่าไหร่ และใช้แนวทางอย่างไรจนหนี้บัตรเป็น 0 รออยู่นะครับ

รอติดตามอยู่ครับ

ต่อครับ

"เกือบล้าน" สิ้นเสียงที่ผมพูด ผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ เพื่อน ญาติพี่น้อง พ่อแม่ ก็ไม่รู้่ว่าผมเป็นหนี้ขนาดนี้ แต่ทำไมผมถึงกล้าที่จะบอกเธอทั้งๆ ที่เพิ่งคบกันไม่ถึงครึ่งปี

แล้วเธอก็ไปหยิบ สมุดเงินฝาก พร้อมบัตร ATM ยื่นให้ผม ความรู้สึกของผม ทั้งดีใจ ตื้นตัน แต่ผมก็บอกว่าไว้ผมมีเมื่อไรจะคืนให้ ในบัญชีมีเงินฝากอยู่ ห้าแสนสี่หมื่นบาท ยอดเงินเท่านี้ถ้าผมตั้งใจหักดิบ กับสินเชื่อต่าง ๆ มันก็หมดได้แน่ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นสิ

รายการแรกที่ผมปิดบัญชี ผมเลือกที่จะปิดบัญชีกับสินเชื่อต่าง ๆ ก่อน

1' ไทยธนาคาร ผมมีสินเชื่อจำนวนเงิน 50000 บาท
2' ธนาคารทหารไทย สินเชื่อประมาณ 50000 บาท
3' แคปปิตอลโอเค สินเชื่อประมาณ 85000 บาท
4' ธนาคารกรุงไทย สินเชื่อประมาณ 60000 บาท

ทั้งหมดเป็นสินเชื่อที่ผมไปปิดแบบเต็มจำนวน ตอนจะปิดก็โทรไปขอต่อรองแล้ว แต่ทั้งหมดมันเป็นเกมส์ที่ผมไม่เคยเล่นมาก่อน ผมจึงตกเป็นเหยื่อ

เงินส่วนที่เหลือผมก็ เอามาใช้จ่ายบ้าง ผ่อนบัตรอื่นๆ แบบขั้นต่ำ จ่ายแล้วก็รูดออกมาต่อ วนไปวนมา ผมเคยคิดคร่าว ๆ ว่าดอกเบี้ยของแต่ละแบงค์ รวมกันประมาณเท่าไหร่ ก็คำนวณออกมาว่า เฉพาะ ดอกของทุกแบงค์ รวม แล้วประมาณ 25000-28000 บาท

เงินเดือนของผมยังไม่พอจ่ายดอกเบี้ยมหาโหดนี้ได้เลย แต่ผมก็เลือกที่จะยอมรับและตั้งหน้าตั้งตารอ รอ รอ คอยวันพินาศของผม

ผมใช้เวลาอยู่ในวังวนนี้เกือบปี เงินในบัญชีของแฟนผมก็เป็น 0 มีครั้งนึงเธอขอดูสมุดบัญชีของเธอ เธอมองดูแล้วน้ำตาไหล ผมเริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ผมทำไป ผลันบอกกับแฟนผมว่า ใกล้จะหมดแล้ว

ทั้งๆ ที่ยอดเงินที่ผมคงค้าง ยังมีเกือบเท่าเดิมอยู่ >>>>ผมจะหาทางออกยังไงต่อไปดี<<<<<<

รออ่านอยู่คะ แหม ยิ่งก็ ละคร พี่อาทิจ กะน้อง ณี อีกคะ น่าติดตาม เร็วๆนะค่ะ

รออ่านด้วยอีกคนค่ะ_ _"

ต่อครับ


แล้วมรสุมต่างๆ ก็เริ่มเข้ามาครับ เครียดเรื่องหาเงินยังไงมาจ่ายค่าบัตร ค่าสินเชื่อต่างๆ จนในที่สุดผมหมดหนทางแล้ว ปัญหาของผม ตัวผมเองไม่สามารถแก้ไขเองได้แล้ว ผมจึงเริ่มหาญาิติครับ เป็นคุณอาผู้ชาย เขามีศักดิ์ เป็นน้องชายของพ่อผมครับ และเป็นเจ้าของกิจการแห่งหนึ่งอยู่

ผมได้เล่าเรื่่องว่า ผมเป็นหนี้อยู่หลายที่ ไม่สามารถจ่ายได้อีกแล้ว อาถามผมว่า ผมเป็นหนี้เท่าไหร่ ผมบอกว่า ประมาณ 2 แสนบาท (ผมคิดอยู่นาน ก่อนที่จะไปพบอาครับ ว่าถ้าบอกมากไป เดี๋ยว อาผมไม่ช่วย ถ้าบอก น้อยไป ก็ไม่พอ เอาแบบ สามารถ ยื้อไปได้อีกซักหน่อย คงจะพอหาหนทางได้)

<<<<< อาทิตย์หน้า วันจันทร์ ไปเจอที่บ้าน>>>>>>>>

ใจผมโล่ง อาการเครียดเริ่มจางไป แล้ววันจันทร์ ผมก็ไปพบ อาที่บ้าน อาผมนั่งนับเงิน แล้วยื่นให้ผม

,,, เอ้า,,, ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ พลางยกมือไหว้ " ขอบคุณครับ"


ทุก ๆ เดือน ผมต้องจ่ายค่าบัตร เครดิตทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน ขั้นต่ำ 10 % อยู่ที่ 58000 - 59000 บาท เงินที่ได้จากอา ผมก็ยังเอามาหมุนอยู่กับบัตรครับ จ่ายขั้นต่ำของบัตรใบนี้ พอเงินเข้า 3-4 วันก็ไปกดออก เพื่อไปจ่ายอีกใบ ทำแบบนี้ วนเวียนไปวนเวียนมา

<<<<<<<<<<<<<<<<< คุณคิดว่ามีผม ที่บ้าทำแบบนี้คนเดียวหรือเปล่า>>>>>>>>>>>>>

ได้เงินมา 540,000 + 200,000 = 760,000 บาท แต่ไม่สามารถใช้หนี้ได้หมด (เพราะการหมุนหนี้)
น่าสนใจครับ อยากรู้ว่าเรื่องราวจะจบแบบไหน ลุ้นต่อ รออ่านอยู่นะครับ

ต่อครับ


ตอนเด็กๆ ผมเคยมีคนดูดวงให้ครับ ว่า ดวงจะมีผู้ใหญ่คอยอุปถัมภ์ ซึ่งในความเป็นจริงของทุกวันนี้ มันก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ แต่สำหรับผม ผมไม่เชื่อเรื่องดวง สักเท่าไหร่

ผมติดอยู่ใน บ่วงหนี้ เข้าสู่ปีที่ 5 หรือ 6 และแล้ว สิ่งที่เซลล์แมน ก๋องแก๋ง ผู้อยากมีหน้ามีตาในสังคม ก็เริ่ม ประสบความสำเร็จกับเค้า บ้าง

ผมได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ครับ (ที่ได้เป็น ไม่ใช่เพราะผมเก่งอะไร นะครับ เหมือนฟลุ๊กมากกว่า เพราะบริษัทฯ ที่ผมทำอยู่ เขาจะย้ายไปตั้งที่ใหม่ครับ แล้วผู้จัดการ คนเก่า เขาไม่ตามไป ผมก็เลยได้ตำแหน่งนี้ครับ)

นอกเหนือจาก ตำแหน่งงานใหม่ เงินเดือนใหม่ ผมยังมีรถประจำตำแหน่งให้อีกด้วยครับ

สบายแล้วละ

อย่างนี้รถคันเก่า ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วสิ

วันรุ่งขึ้นผมขับรถ ตรงไปยังเต็นท์ขายรถ

" ขายรถหรือครับ"

"ครับ เฮีย ได้เท่าไหร๋คับ"

" 130000 ถ้วน เอาก็เอาไม่เอา ที่อื่นให้ต่ำกว่านี้อีกนะ"

" ok ครับเฮีย"

<<<<<<<<<<<ผมอยากได้เงินจนหน้ามืด โดยที่ไม่ลองไปดูหลายๆ ที่ก่อน>>>>>>>>>>>>

ต่อครับ


ปรกติ คนทั่้วไปพอได้เงินก็ อยากเอาไปใช้ใช่ใหมครับ บางคนก็อยากเอาไปใช้ซื้อของ หาอะไรให้ตัวเอง หรือคนที่เรารัก หรือถ้าเป็นสมาชิกบอร์ดนี้ ก็คงเอาเงินไปใช้หนี้ใช่ใหมครับ .....แต่ไม่ใช่ผม.....

ผมหาเวลาว่าง เช้าวันนึง ผมเรียกลูกน้องเข้ามาคุย

" ผมจะไม่อยู่ซักวันสองวัน ฝากดูแลออฟฟิศ ด้วย"

" ครับพี่"

แล้วสิ่งที่ผมทำ คือ ผมขับรถมุ่งสู่ นครแห่งคนบาป อีกครั้ง " ครั้งนี้ผมมีเงิน มากกว่าทุกครั้งที่ไป "

ผมใช้เวลาหนึ่งคืน สองวันอยู่ในบ่อน ทั้ง กิน ดื่ม เล่น เที่ยวผู้หญิง โดยที่ไม่หลับไม่นอน แต่เปิดห้องเอาไว้ครับ และแล้วก็ได้เวลากลับ

ในขณะที่ผมขับรถกลับ สมองผมมันอื้อไปหมด ทั้งเหนื่อย เพลีย เจ็บใจ
ใช้ไปประมาณ 80000 บาท ผมได้แต่ให้กำลังใจตัวเองว่า อย่างน้อย ก็ยังเหลืออีก 50000 บาทนะ

กำลังมันส์เลย รออ่านอยู่ค่ะ ไม่เคยติดตาม เรื่องราวของใครอย่างนี้เลย สนุกมากเลย

ขอบคุณ ทุกท่านที่ติดตามครับ ไว้ผมเข้าออฟฟิส จะรีบเล่าต่อครับ เรื่องราวของผม ยังมีอีกเยอะครับ