ศาลสามารถสั่งอายัติรถที่เรามีชื่อผ่อนอยู่ได้หรือไม่

ตอนนี้ผมหยุดจ่ายมา 5 เดือนแล้ว แต่เงินที่เหลือจากหยุดจ่ายทยอยใช้หนี้ญาติๆไปหมดแล้ว ไม่เหลือเก็บเลย ตอนนี้เคลียของญาติและคนรู้จัดหมดแล้ว (เหตุที่ต้องจ่ายคืนญาติๆไปก่อน เพราะคิดว่าเค้าก็คงเดือนร้อนเหมือนกันและไม่อยากโดนตำหนิด้วยเดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติด) ตอนนี้ก็คงต้องเริ่มเก็บเงินใหม่แต่คิดว่าไม่น่าจะเก็บทัน H/C เพราะรายจ่ายตอนนี้เยอะจริงๆ
มูลหนี้ของผมทั้งหมดมีดังนี้
กรุงไทยเครดิต 150000 สินเชื่อ revole 80000 บัตรกดเงินอีก 19000 (หยุดจ่าย)
ซิตี้แบงค์แต่เป็นบัญชีรีไรท์มาแล้วยอดเหลือตอนนี้ 66000 (หยุดจ่าย)
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ 125000 (หยุดจ่าย)
cimb สินเชื่ออีก 100000 (หยุดจ่าย)
กสิกร บัตรเครดิต 44000 (ยังไม่ได้หยุด เพราะเพิ่งได้เงินมาใช้ 5 เดือนเอง)
uob สินเชื่อ 70000 (ยังไม่ได้หยุด เพราะเพิ่งได้เงินมาใช้ 4 เดือนเอง)

รายจ่ายประจำต่อเดือน
1.ค่าห้องพัก+น้ำไฟ 2500
2.ค่านมลูก+ค่าขนม+ค่ารถรับส่ง 3500
3.ค่าผ่อนรถ 8500
4.ค่าเชื้อเพลิงสำหรับเดินทางไปกลับที่ทำงาน+ค่าโทรศัพท์มือถือ ~4500
5.อื่นๆ ค่ากิน
รายรับต่อเดือน เงินเดือน 24000 +OT. แล้วแต่มีมากน้อย ~ 2 - 3000
ดูแล้วเหลือเก็บได้เดือนละอย่างเก่งก็ 3-4 พันต่อเดือน อาจทำให้เก็บไป H/C ไม่ทัน
เลยกังวลว่าถ้าถึงขั้นศาลตัดสินต้องอายัติเงินเดือนแล้ว จะโดนสืบทรัพย์ว่ามีผ่อนชำระรถยนต์ด้วย(ผ่อน 48 งวดเพิ่งเริ่มผ่อนไป 6 งวดเอง) แล้วก็มีมอไซด์อีกคันที่เป็นชื่อผม ผมต้องไปโอนเป็นชื่อแฟนก่อนถูกต้องมั๊ยครับ สรุปมีคำถามดังนี้ครับ
1.ผมควรจะต้องโอนเปลี่ยนกรรมสิทธิ์เช่าซื้อรถยนต์เป็นชื่อแฟนก่อนเลยมั๊ย
2.รถมอไซด์ก็ควรจะโอนใช่มั๊ยครับ
3.แล้วถ้าถึงขั้นโดนอายัติเงินเดือน เคยอ่านเจอมาว่าถ้ามีลูกสามารถขอลดจาก 30% ลงมาได้อีกใช่มั๊ยครับ และมีอะไรที่สามารถขอลดอัตราการหักได้อีกบ้างครับ
ช่วยแนะนำด้วยครับ

รถที่ยังผ่อนอยู่...เจ้าหนี้จะมายึดรถในขณะที่ยังผ่อนอยู่ไม่ได้...แต่พวกมันจะใช้วิธี "นั่งตีขิมรอ"...รอว่า เมื่อไหร่ที่คุณผ่อนจนหมด แล้วโอนรถเป็นชื่อของคุณเมื่อไหร่?...มันก็จะมายึดเอาไปทันที
ดังนั้น...ถ้าคิดจะขายดาวน์รถเปลี่ยนมือ (เพื่อเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองรถ) ในตอนนี้...ก็รีบๆทำซะ อย่ามัวแต่ถาม เวลาไม่คอยท่า

ตามกฏหมายแล้ว ถ้าหากลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาแล้ว ยังคงเพิกเฉยต่อคำสั่งพิพากษาของศาล เป็นเวลาเกิน 15 วัน ทางเจ้าหนี้ก็จะเอาคำพิพากษานี้ ไปส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ของกรมบังคับคดี เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการบังคับ "อายัดเงินเดือน ได้ไม่เกิน 30%" หรือ "อายัดทรัพย์สิน" ต่อไป...โดยไม่สนใจว่า ลูกหนี้จะมีหนี้สินคงค้างอยู่ที่ไหน หรือ จะมีภาระค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร เขาจะยึดตาม "หลักของกฏหมาย" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น...ยกเว้นแต่...ลูกหนี้จะไปแจ้งขอทำเรื่อง ให้ลดการอายัดเงินเดือนลงมา จาก 30% ให้ลดลงมาเหลืออายัติเพียง 15% (ตามกฏหมายให้ขอส่วนลดได้สูงสุดแค่นี้) ตามภาระและความจำเป็นที่มีเหตุผลอันสมควร โดยทั้งนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสอบสวนของกรมบังคับคดีเสียก่อน ว่าเห็นสมควรให้ลดหย่อนการอายัติลงมาได้หรือไม่? และสมควรได้ลดหย่อนกี่% ตามที่ร้องขอมาหรือไม่? (5% , 10% หรือ 15% ตามความเห็นสมควรของคณะกรรมการสอบสวน) แล้วยังต้องรอให้อธิบดีของกรมบังคับคดี ลงนามเห็นชอบอีกด้วย (มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย และอาจไม่ได้ตามที่ร้องขอไปก็ได้)...แต่อย่างไรก็ตาม...วิธีนี้น่าจะเหมาะ สำหรับผู้ที่มีเจ้าหนี้เพียงรายเดียว และถูกเจ้าหนี้ฟ้องอายัติเงินเดือน เพียงเจ้าเดียว หรือ รายเดียว เท่านั้น

ส่วนสำหรับลูกหนี้ ที่จะต้องถูกเจ้าหนี้ฟ้องและต้องถูกอายัติเงินเดือน ต่อคิวอยู่อีกหลายราย...หากไปทำเรื่องขอลดลงมาได้แล้ว (สมมุติว่าเจ้่าหนี้รายที่หนึ่ง อายัติเงินเดือนได้แค่เพียง 15%)...ไอ้เจ้าหนี้รายที่สอง ถ้าหากมันรู้ว่าลูกหนี้ไปขอทำเรื่องลดอายัดเงินเดือนมาแล้ว ก็จะมาเอาส่วนต่างที่เหลือจากการลดอายัดลงมานี้ (อีก 15% ที่ลูกหนี้อุตส่าห์ไปทำเรื่องขอลดเอาไว้) ฝ่ายเจ้าหนี้รายต่อไป มันก็อาจทำเรื่องร้องขอต่อศาลอีกครั้ง เพื่อขอคำสั่งอายัดเอาไอ้ 15% นี้ไปได้อีกหากศาลเห็นชอบ โดยที่เจ้าหนี้รายที่สองนี้ ไม่ต้องมานั่งเข้าแถวต่อคิวรอจากรายที่หนึ่ง...เพราะกฏหมายเขียนเอาไว้ว่า สามารถอายัดเงินเดือนสูงสุดได้ที่เต็มที่ไม่เกิน 30% ...เข้าใจไหมครับ?

ส่วนไอ้เจ้าหนี้ รายที่สาม , รายที่สี่ , และรายต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามันรู้ตัวว่าต้องมานั่งเข้าแถว รอคิวการอายัติเงินเดือนของลูกหนี้ ต่อจากรายแรกๆ...มันก็จะไม่อดทนรอหรอกนะครับ แต่มันจะหันไปใช้วิธี "สืบทรัพย์" ของลูกหนี้แทน เพื่อทำการยึดทรัพย์มาขายใช้หนี้ต่อไป...เว้นเสียแต่...ลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์ใดๆให้ทำการยึดหรืออายัดได้เลย ไอ้เจ้าหนี้รายหลังๆพวกนี้ ก็จำเป็นต้องก้มหน้ารับชะตากรรมของตัวเอง เข้าแถวรอคิวต่อไปเรื่อยๆ...จนกว่าจะถึงคิวของมันต่อไป

หมายเหตุ : ให้ไปอ่านเรื่อง "กฏเกณฑ์ การอายัด(ยึด)ทรัพย์สิน ภายในบ้านของจำเลย(ลูกหนี้)"
จากในกระทู้นี้ด้วย

debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=showcat&catid=7&Itemid=29

ขอบคุณครับคุณนกกระจอกเทศ
ผมมีคำถามเพิ่มเติมครับ
อะไรที่เป็นชื่อของเราถือกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้ครอบครอง ถึงแม้จะผ่อนอยู่หรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่อยากโดนยึด ควรไปเปลี่ยนเป็นชื่อญาติซะ
หรือว่า ในกรณีที่รถยังผ่อนส่งอยุ่ เราก็ผ่อนเป็นชื่อเราไปได้เรื่อยๆ พอเหลือซัก 2-3 งวดสุดท้าย ค่อยหาไปเปาะเพื่อปิดบัญชีแล้วก็เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์รถเป็นชื่อแฟนตอนนั้นเลย
ผมควรทำแบบไหนดีครับ (คือผมเข้าใจว่าถ้าเราไปเปลี่ยนชื่อตอนนี้มันจะมีค่าดำเนินการในการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้เช่าซื้ออีกหลายพันอยู่ ซึ่งตอนนี้ยังแย่อยู่เลยอ่ะครับ ถ้ารอไปจนถึงใกล้จะผ่อนหมดค่าใช้จ่ายน่าจะถูกกว่าและมีเงินไปดำเนินการได้แบบคล่องตัวหน่อยอ่ะครับ) ขอบคุณครับ

Kid เขียน: ขอบคุณครับคุณนกกระจอกเทศ
ผมมีคำถามเพิ่มเติมครับ
อะไรที่เป็นชื่อของเราถือกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้ครอบครอง ถึงแม้จะผ่อนอยู่หรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่อยากโดนยึด ควรไปเปลี่ยนเป็นชื่อญาติซะ
หรือว่า ในกรณีที่รถยังผ่อนส่งอยุ่ เราก็ผ่อนเป็นชื่อเราไปได้เรื่อยๆ พอเหลือซัก 2-3 งวดสุดท้าย ค่อยหาไปเปาะเพื่อปิดบัญชีแล้วก็เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์รถเป็นชื่อแฟนตอนนั้นเลย
ผมควรทำแบบไหนดีครับ (คือผมเข้าใจว่าถ้าเราไปเปลี่ยนชื่อตอนนี้มันจะมีค่าดำเนินการในการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้เช่าซื้ออีกหลายพันอยู่ ซึ่งตอนนี้ยังแย่อยู่เลยอ่ะครับ ถ้ารอไปจนถึงใกล้จะผ่อนหมดค่าใช้จ่ายน่าจะถูกกว่าและมีเงินไปดำเนินการได้แบบคล่องตัวหน่อยอ่ะครับ) ขอบคุณครับ

จะทำอะไรก็ให้รีบทำ....ก่อนที่จะมีหมายศาลมาหา...

เวลาจะเปลี่ยนเจ้าของ ก็ทำให้มันเนียนหน่อย ทำเป็นสัญญาซื้อขายกันไปเลย

ไม่งั้นอาจโดนอาญาได้นะครับ....คุก...นะครับ

เช่าซื้อกรรมสิืทธิยังไม่โอน จนกว่าจะชำระครบ ดังนั้นระหว่างผ่อนไม่มีการยึดแน่นอน

จะโอนเปลี่ยนชื่อคู่สัญญาเช่าดีหรือไม่ ค่าเปลี่ยนสัญญา 10,000 บาท แล้วเราจะไปเสียเงินทำไม

วันที่ชำระครบเราจะไปบอกเจ้าหนี้ทำไม หรือเมื่อครบสัญญาก็ขอเช่าซื้อ โดยเอาเงินมาไว้ในมือก็ดีไม่เบา ถือว่าเราเช่ารถขับ อย่างนี้มีรถใช่่ต่อไป ครบ 10 ปี หนี้ตามคำพิพากษาก็ระงับแล้วครับ

yo904 เขียน: เช่าซื้อกรรมสิืทธิยังไม่โอน จนกว่าจะชำระครบ ดังนั้นระหว่างผ่อนไม่มีการยึดแน่นอน

จะโอนเปลี่ยนชื่อคู่สัญญาเช่าดีหรือไม่ ค่าเปลี่ยนสัญญา 10,000 บาท แล้วเราจะไปเสียเงินทำไม

วันที่ชำระครบเราจะไปบอกเจ้าหนี้ทำไม หรือเมื่อครบสัญญาก็ขอเช่าซื้อ โดยเอาเงินมาไว้ในมือก็ดีไม่เบา ถือว่าเราเช่ารถขับ อย่างนี้มีรถใช่่ต่อไป ครบ 10 ปี หนี้ตามคำพิพากษาก็ระงับแล้วครับ

แปลกๆนะครับ...

ช่วยอธิบายให้ละเอีอดหน่อยครับ...

ตกลงผมควรทำไงดีครับ ค่าเปลี่ยนแปลงสัญญาถึง 10000 เลยหรือครับ ขายดาวน์การเมืองนี่ยังไงก็ต้องเปลี่ยนสัญญาถูกต้องมัยครับ ขอความกระจ่างหน่อยครับ
ผมสับสนจริงๆ ว่าควรเอาไงต่อดี ยิ่งไปอ่านเจอกระทู้ที่คุณนกกระจอกเทศโพสต์ไว้อีก เรื่องการยึดทรัพย์ของ "เจ้าบ้าน" อ่ะครับ พอดีผมมีชื่อเป็น "เจ้าบ้าน" อยู่ด้วย

Kid เขียน: ตกลงผมควรทำไงดีครับ ค่าเปลี่ยนแปลงสัญญาถึง 10000 เลยหรือครับ ขายดาวน์การเมืองนี่ยังไงก็ต้องเปลี่ยนสัญญาถูกต้องมัยครับ ขอความกระจ่างหน่อยครับ
ผมสับสนจริงๆ ว่าควรเอาไงต่อดี ยิ่งไปอ่านเจอกระทู้ที่คุณนกกระจอกเทศโพสต์ไว้อีก เรื่องการยึดทรัพย์ของ "เจ้าบ้าน" อ่ะครับ พอดีผมมีชื่อเป็น "เจ้าบ้าน" อยู่ด้วย

ดีแล้วครับที่ไปอ่านก่อน เรื่อง "เจ้าบ้าน"

ยังไม่ถูกฟ้องก็ไม่เกิดปัญหาหรอกครับ

แต่จะทำอะไรก็ควรรีบทำทันทีครับ

ถ้าหยุดจ่ายทั้งหมด แล้วยังไม่ไหว ก็ขายดาว์นไปเลยค่ะ ไม่ต้องเก็บไว้ ราคาขายดาว์นก็รวมราคาทำสัญญาไปด้วยเลย ไว้ถ้าหมดหนี้แล้วค่อยไปดาว์นซื้อใหม่ เมื่อเราพร้อมจริงๆ ส่วนรถมอไซค์ก็เก็บไว้นั่นล่ะค่ะ ถ้าถูกเจ้าหนี้ฟ้องก็สู้ไปตามขั้นตอน อย่าหนี ต้องเผชิญหน้า คุณมีลูกแล้ว และภรรยาพอมีรายได้ไหมคะ แล้วหนี้ที่คุณกล่าวมารวมของคุณกับภรรยาแล้วหรือยัง จากยอดหนี้ คิดว่าซิตี้จะฟ้องคุณเร็วๆนี้ ช่วงนี้ก็ต้องเก็บเงินไว้เพื่อมีส่วนลด ถ้าคุณหยุดผ่อนรถ คุณจะเก็บเดือนหนึ่งได้ 10000 ก่า ยังไงลองดูนะคะ แต่ถ้าตัดรถไม่ได้ เวลาโดนฟ้องศาลต้องไปค่ะ และหาวิธีจ่ายที่คุณรับได้ ในกรณีที่ยึดทรัพย์ อายัดเงินเดือน เกิดขึ้นกรณีที่คุณไม่สู้ ไม่ไป ไม่ดำเนินการใดๆ เลยค่ะ

yo904 เขียน: เช่าซื้อกรรมสิืทธิยังไม่โอน จนกว่าจะชำระครบ ดังนั้นระหว่างผ่อนไม่มีการยึดแน่นอน

จะโอนเปลี่ยนชื่อคู่สัญญาเช่าดีหรือไม่ ค่าเปลี่ยนสัญญา 10,000 บาท แล้วเราจะไปเสียเงินทำไม

วันที่ชำระครบเราจะไปบอกเจ้าหนี้ทำไม หรือเมื่อครบสัญญาก็ขอเช่าซื้อ โดยเอาเงินมาไว้ในมือก็ดีไม่เบา ถือว่าเราเช่ารถขับ อย่างนี้มีรถใช่่ต่อไป ครบ 10 ปี หนี้ตามคำพิพากษาก็ระงับแล้วครับ

คุณyo904 สิ่งที่คุณแนะนำ ชมรมฯ ไม่เคยแนะนำค่ะ
เราแค่ให้ผ่อนหนักเป็นเบา หาวิธีแก้ไขโดยตัวเราบอบช้ำน้อยที่สุดในเรื่องของทรัพย์สิน
แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้ใช้ความรู้ที่มี มาหลบเลี่ยงแล้วชักดาบ
เป็นหนี้ เราก็ต้องชดใช้ เอาเงินเขามา เราก็ต้องใช้เขากลับ
แต่อย่าให้ครอบครัวตัวเองต้องเดือดร้อน อย่าให้หมุนบัตร หรือหาหนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า
คุณอย่าแนะนำวิธีแบบนี้อีก แล้วสิ่งที่คุณเข้าใจนั่นนะ...มันผิดค่ะ ไปอ่านลิงค์ที่พีจังแนะนำมาจะดีกว่า

Kid เขียน: ตกลงผมควรทำไงดีครับ ค่าเปลี่ยนแปลงสัญญาถึง 10000 เลยหรือครับ

ค่าเปลี่ยนสัญญา ไม่มีราคาเป็นกฏเกณฑ์ตายตัว
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของ ไฟแนนซ์/ลิสซิ่ง แต่ละรายเป็นผู้กำหนดเอง มีตั้งแต่ราคา 3,000 , 4,000 , 5,000 ,...ไปจนถึงหลักหมื่น

ขายดาวน์การเมืองนี่ยังไงก็ต้องเปลี่ยนสัญญาถูกต้องมัยครับ ขอความกระจ่างหน่อยครับ

"ขายดาวน์"นะครับ...ไม่ใช่"โอนลอย"
ถ้าไม่เปลี่ยนชื่อบุคคลที่เป็นผู้ครอบครองใน"สัญญาเช่าซื้อรถยนต์"...แล้วจะเรียกว่า"ขายดาวน์"เหรอครับ?

ผมสับสนจริงๆ ว่าควรเอาไงต่อดี ยิ่งไปอ่านเจอกระทู้ที่คุณนกกระจอกเทศโพสต์ไว้อีก เรื่องการยึดทรัพย์ของ "เจ้าบ้าน" อ่ะครับ พอดีผมมีชื่อเป็น "เจ้าบ้าน" อยู่ด้วย

คุณบอกว่า คุณสับสน , ไม่รู้จะเอายังไงดี...แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ?
ผมก็อธิบายให้เข้าใจ"ตามข้อกฏหมาย"ไปแล้วนี่ครับ

ขอย้ำว่านี่คือหลักการ "ตามข้อกฏหมายนะครับ"...คุณเข้าใจไหม?

เวปบอร์ดแห่งนี้ ได้มีการตอบปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง"หนี้" โดยอยู่ในโลกของไซเบอร์แบบนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้ในเวปนี้ก็มีทั้ง ประชาชนทั่วไป , ลูกหนี้ , สื่อมวลชน , เจ้าหนี้ , พวกทวงหนี้ , ทนายความ , สถาบันการเงินต่างๆ , พวกเข้ามาโฆษณาขายของ , พวกธุรกิจแชร์ลูกโซ่...ฯลฯ(เรียกได้ว่า ทุกประเภท และทุกวงการ)

ที่สำคัญที่สุด...ก็คือไอ้พวกที่เป็น"ศัตรูฝ่ายตรงข้าม "กับชมรมฯแห่งนี้นั่นแหละ (คงรู้นะ...ว่าหมายถึงใคร?) ที่เข้ามาอ่านและคอยจ้องทำลายเวปแห่งนี้มาโดยตลอด

คุณจะให้ผม ในฐานะประธานของชมรมฯแห่งนี้ ต้องบอกคุณตรงๆเลยหรือครับว่า "ผมรู้วิธีการของช่องโหว่กฏหมาย ที่จะทำให้ลูกหนี้ไม่ต้องถูกอายัดอะไรเลยสักอย่าง" (ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน หรือทรัพย์สินอะไรก็ตาม) โดยจะต้องทำ อย่างนี้นะ-อย่างโน้นนะ รับรองว่ารอดแน่ๆ...ไม่โดนยึดอะไรเลยซักอย่าง

เพราะถ้าผมขืนไปพิมพ์อธิบายตามที่ว่า...ผมก็"ติดคุก "น่ะสิครับ (ข้อหาชี้นำช่องโหว่ของกฏหมาย เพื่อให้เกิดการเลี่ยงกฏหมายยักยอกทรัพย์)...ตะรางชัดๆ

เพราะข้อความที่พิมพ์ลงในกระทู้ มันจะเป็นหลักฐานชั้นดีเลย...ที่จะนำไปสู่

- การฟ้องร้องเป็นคดีอาญากับผู้ที่ตีพิมพ์ข้อความดังกล่าว
- ถ้าผู้ที่พิมพ์ มีตำแหน่งบริหารในชมรมฯ คณะกรรมการของชมรมฯทุกคนจะต้องถูกสอบสวนทั้งหมด
- เวปไซด์แห่งนี้จะถูกสั่งปิดทันที
- มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จะต้องถูกฟ้องเป็นจำเลยตามไปด้วย ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนชมรมฯ

ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้...ผมขอถามว่า แล้วคุณจะรับผิดชอบอย่างไร?

.

.
ขออนุญาตฝากประชาสัมพันธ์ไปถึงยังกรรมการของชมรมฯทุกท่านด้วยนะครับ

การตอบกระทู้ใดๆของสมาชิก...ขอให้กรรมการพึงระมัดระวังการตอบให้ดีด้วย
อย่าใช้ถ้อยคำที่มีความสุ่มเสี่ยงเกินไป อันสามารถโยงไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีในข้อชี้นำช่องโหว่กฏหมายได้

ช่องทางในการสื่อสารเพื่อให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน...มีตั้งหลายช่องทาง
แต่ไม่ควรใช้เวปไซด์ของ มพบ.แห่งนี้ ในการแนะนำกันแบบตรงๆ เพราะอาจนำพาความ"ซวย"ไปให้กับ มพบ.ด้วย

ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นกรรมการของชมรมฯ แต่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและดีพอ
โดยอยากจะเข้ามาแนะนำอะไรที่มันสุ่มเสี่ยงกับตัวเขาเอง...ก็ปล่อยเขาไป
หากวันใดที่เขาถูกฟ้องร้องขึ้นมา ก็ให้เขาไปสู้คดีเอาเอง...อย่างมากกระทู้อันนั้นก็โดนลบไป
และถ้าชมรมฯสามารถชี้แจงได้ว่า ชมรมฯไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนให้บุคคลผู้นั้นกระทำการในข้อหาดังกล่าว
บุคคลดังกล่าวเป็นแค่ประชาชนทั่วไปที่มาลง Register เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในเวปบอร์แห่งนี้
โดยไม่ได้มีตำแหน่งใดๆในชมรมฯทั้งสิ้น...ก็ว่ากันตามขั้นตอนของกฏหมายต่อไป

ก่อนอื่นต้องขออภัยกรรมการและสมาชิกทุกท่านก่อนเลยนะครับ จากคำถามที่ตั้งมาทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้
หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมจริงๆครับ มิได้มีเจตนาสร้างความเสียหายหรือสุ่มเสี่ยงให้กับทางชมรม
จากสิ่งที่กรรมการและสมาชิกหลายท่านแนะนำมาผมพอจะเข้าใจบ้างแล้วครับ แต่ถ้าหากยังติดขัดปัญหาอะไรที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ คงต้องใช้ช่องทางอื่นในการติดต่อแทน ตามที่แนะนำมา ขอขอบคุณกรรมการและสมาชิกทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

เหมือนกันค่ะ บางทีอ่านไปอ่านมา ละงง 55 อจจะได้ถ้อยคำ อ่านละไม่เข้าใจ