ห้าโหล หกโหล กลับบ้านเฝ้ารอโทรศัพท์พี่ลีอยู่นา อย่าเครียดสิจ๊ะเดี๋ยวไม่สวย
ไม่รู้พี่ลีได้อ่านหรือยัง ที่คุณ kaewja นำมาไว้ให้อ่าน ได้ความรู้เป็นแนวทางดีมากค่ะ
สู้ สู้ นะคะพี่ลี
นี้คือส่วนหนึ่งที่หาอ่านได้บนกระทู้ปักหมุด คุณใกล้เป็นไทได้รวบรวมไว้ให้อ่าน
ซึ่งเราอยากให้สมาชิกใหม่ ช่วยอ่านก่อนตั้งกระทู้ค่ะ การผ่อนหลังศาลพิพากษา
หรือการยอมความด้วยการผ่อนชำระ โปรดคำนึงถึงเงินในกระเป๋าคุณ ความสามารถ
ในการชำระแต่ละเดือนของคุณเอง และที่สำคัญไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ค่ะ
ถ้าเกิน การอายัดเงินเดือนจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และหากคุณทำไม่ได้ตลอด
ต้องรู้ว่า เขาถือคำพิพากษาในมือ สามารถใช้บังคับคุณได้นะค่ะ ขั้นตอนต่อไป
คือการอายัดเช่นกันค่ะ
-ขั้นที่ 6 แนวทางปฏิบัติเมื่อคดีความที่เข้าสู่ศาลแพ่ง
1 มาจากการเจรจา hair cut ไม่ได้ / ไม่ทัน เนื่องจาก เราไม่มีเงินพอ หรือ แบงค์ต้องการเงินคืนเร็ว เลยฟ้องเร็ว อันนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
2 ขั้นตอนนี้ก็ยังสามารถเจรจา hair cut ได้เรื่อยๆ จำไว้ว่าการ hair cut ทำได้ในทุกขั้นตอน ขอเพียงเรามีเงิน
3 วันไปขั้นศาล ควรไปทุกนัดจะดีมาก
3.1 ไปนัดแรก เป็น นัดไกล่เกลี่ย
ก) หากคู่ความ ตกลงกันได้ในต้นเงิน ดอกเบี้ย ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายต่อกัน เช่น ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ ค่าทนายความโจทก์ 500-1,000 บาท
(ก.1) ก็จะลงนามใน บันทึกการไกล่เกลี่ย โดยคู่ความ โจทก์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ หรือทนายความโจทก์ และ จำเลย หรือทนายความจำเลยและ ผู้ไกล่เกลี่ย
(ก.2) เจ้าหน้าที่ศาล จะทำ คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมตามที่คู่ความตกลงกันไปให้ผู้พิพากษาลงนามโดยท่านผู้พิพากษาจะให้คู่ความทั้งสองฝ่ายพร้อมกันต่อหน้า
(ก.3) ท่านผู้พิพากษาจะอ่านคำพิพากษาให้สองฝ่ายทราบ และแก้ไขข้อความให้ตรงกับที่คู่ความ ตกลง พึงพอใจสองฝ่ายเมื่อเป็นที่เข้าใจตรงกันแล้ว
(ก.4) ท่านจะมีคำพิพากษาและลงนามไปตามนั้น พร้อมให้คู่ความลงนาม และมอบคำพิพากษาให้คู่ความเก็บเป็นหลักฐานและปฏิบัติไปตามนั้น
- (ก.5) ขั้นตอนเจรจาที่จบลงแบบนี้ คือ เงื่อนไขที่ลูกหนี้ร้องขอ เจ้าหนี้พอใจ แต่ถ้าไม่ยินยอมก็ไปข้อ (ข)
ข) หากคู่ความไม่ตกลงในนัดไกล่เกลี่ย
(ข.1) จะส่งเรื่องคืนเข้าสู่การนัดสืบพยานเรื่องราวที่ตกลงกันในการไกล่เกลี่ยถือเป็นโมฆะ ไม่นำกลับมาเป็นข้ออ้างในการพิจารณาของศาล
(ข.2) ขั้นตอนที่เจรจา ส่วนใหญ่จะลงเอยแบบนี้มากกว่าข้อ (ก) เพราะโจทก์ (แบงค์) มักไม่ยอมตามเงื่อนไขลูกหนี้ง่ายๆ ขั้นตอนมีคร่าวๆดังนี้ครับ
2.1 หลังมาศาลแล้วจะเจอทนายของแบงค์ (โจทก์) ที่ฟ้อง ให้เราเจรจาเงื่อนไขที่เราต้องการ ถ้าแบงค์ไม่ยอมอะไรเลย ก็ขอเลื่อนคดี (ยืดหนี้)ออกไปก่อน เช่น ใช้เทคนิคเรื่องโบนัสที่จะออกใน 3-4 เดือนข้างหน้า เป็นต้น
2.2 ดังนั้นเทคนิคยืดเวลา คือ การขอเลื่อนคดีออกไป อีก 2-4 เดือน (แต่ไม่ใช่การสู้คดีนะ) ลูกหนี้มีสิทธิ์ ถึงแม้ทนายโจทก์จะไม่อยากให้เลื่อนก็ตาม ลูกหนี้ทุกคนมีสิทธิ์ร้องขอ ควรทำความเข้าประเด็นนี้ให้มากๆ
2.3 หรืออีกเทคนิคคือ การยื่นคำให้การ แต่จะยุ่งยากกว่าข้อ 2.2 (อาจจะต้องจ้างทนาย) ลองประเมินตามความเหมาะสม
2.4 ระหว่างที่รอมาศาลในนัดต่อไป ก็เก็บเงินไปเรื่อยๆ ได้อีกหลายเดือน ระหว่างนี้ถ้าพร้อมก็เจรจา hair cut ได้เลย โจทก์ก็จะถอนฟ้องให้ หรือถ้าเงินยังเก็บได้ไม่พอ ก็ไม่ต้องกังวลใจ ค่อยไปต่อรองหน้าศาลในนัดต่อไปได้
3.2ไปนัดที่ 2 เป็น นัดสืบพยาน
ก) ท่านผู้พิพากษาจะสืบคู่ความทั้งสองฝ่าย และพยานที่กล่าวอ้าง ตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงแห่งหนี้
ข) และจะนัดให้คู่ความฟังคำพิพากษาในวันถัดไป
3.3ไปนัดสุดท้าย เป็น นัดฟังคำพิพากษา
ก) มาถึงศาลแล้ว จะเจอทนายโจทก์ก็สามารถเจรจาเงื่อนไขได้ ถ้าเจรจาไม่ได้ก็ลองไปเจรจาหน้าบัลลังค์อีกครั้ง
ข) ผู้พิพากษาจะอ่านคำพิพากษาให้คู่ความทั้งสองฝ่ายฟัง โดยคู่ความสามารถตกลงกันตอนนี้ได้ หรือจะให้เป็นไปตามที่มีคำพิพากษาเลยก็ได้
(ข.1) ส่วนใหญ่ถ้ามาศาลคนเดียว ลูกหนี้ (ตัวเรา) จะขอความเห็นใจจากศาลในขั้นตอนนี้ครับ เช่น เทคนิคขอผ่อนแบบขั้นบันได
ปีที่ 1 = 1,000, 1,500, 2,000
ปีที่ 2 = 1,500, 2,000, 2,500
ปีที่ 3 = 2,000, 2,500, 3,000
ปีที่ 4 ………………………..ก็แล้วแต่ยอดหนี้และความเหมาะสม แต่คงไม่เกิน 10 ปีตามอายุบังคับคดี
(ข.2) จากนั้นศาลท่านจะแค่บอกแนวทางสั้นๆ แก่โจทก์ ถ้ายอมก็ตามนั้น ถ้าโจทก์ไม่ยอมก็ตัดสินตามคำฟ้องของเจ้าหนี้
ค) เมื่อท่านมีคำพิพากษาแล้ว คู่ความจะต้องลงนามในคำพิพากษา และรับคำพิพากษาแต่ละฝ่ายกลับไปปฏิบัติตามนั้นถือว่าจบกระบวนการพิจารณาคดี
ง) ค่าใช้จ่ายถ้าไปศาลเองก็ยังไม่ต้องจ่ายอะไร เป็นเรื่องที่ทนายจะไปเรียกเก็บกับทางแบงค์ต้นสังกัดเอง
-
-เสริมขั้นที่ 6 เสริมกรณีเจ้าหนี้ไม่ยอมอะไรเลย ทำไมถึงไม่ต้องไปสนใจเรื่องดอกเบี้ยเลย
(กรณีที่ แบงค์เขี้ยวมากๆๆ ไม่ยอมลดอะไรเลยไม่ยอมผ่อนปรน ตามเงื่อนไขของลูกหนี้เลย จะเอาตามเงื่อนของแบงค์ฝ่ายเดียว)
ก็ไม่ต้องไปเครียดมาก พยายามเจรจาเอาเงื่อนไขผ่อนจ่ายแบบขั้นบันไดมาก่อน แล้วก็ผ่อนเข้าไปตามปกติ..ตรงบ้าง น้อยบ้าง ตามที่เราไหว
เงินส่วนที่เหลือก็เก็บเงินรอ hair cut อย่างเดียว..
สุดท้าย ดอกเบี้ยเป็นเพียง ตัวเลข เท่านั้น
-ขั้นที่ 7 แนวทางปฏิบัติหลังศาลตัดสินแล้ว ว่าคุณเหมาะสมกับแบบไหนระหว่าง การจ่ายหลังคำพิพากษา &รอให้อายัดเงินเดือน
1) การจ่ายเงินหลังคำพิพากษา จะเหมาะกับ คนที่มีบ้าน จำนองบ้าน +โดนฟ้อง 1-3 ราย + เงินเดือนสูง
- กรณีเงินเดือนสูง 30,000 – 50,000 ถ้าปล่อยไปถึงอายัดเงินเดือนมากตาม เดือนละ 9,000 – 15,000
- การโดนฟ้องศาลไม่มาก 1- 3 ราย ถ้าโดนฟ้องติดๆกัน รวมทั้งหมด 3 ราย และแต่ละรายจะต้องผ่อนจ่ายหลังคำพิพากษารายละ 2,000 บาท ในช่วงปีที่ 1 (แบบขั้นบันได) อาจจะจ่ายน้อยบ้าง ครบบ้าง ตามความเหมาะสม ดังนั้นคุณเสียเงินเพื่อผ่อนจ่ายตามคำพิพากษาเฉลี่ย 1,000 - 2,000 * 3 ราย = 3,000 - 6,000 บาท/เดือน ส่วนต่างที่เหลือเมื่อเทียบกับการปล่อยให้อายัดเงินเดือน = 6,000-12,000 บาท/เดือน ก็จะเป็นทั้งการป้องกันเรื่องการโดนบังคับคดี ยึดบ้าน หรือ เพื่อเก็บเงินต่อเดือนมากขึ้น เพื่อเก็บไว้รอ hair cut นั่นเองนะครับ
- คนที่มีบ้าน/บ้านจำนอง และโดนฟ้องหลายราย การผ่อนจ่ายจะมากตาม จนไม่สามารถเก็บเงินได้ วิธีนี้อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนั่นเอง
2) การให้ไปจบที่อายัดเงินเดือน จะเหมาะกับ คนที่ไม่มีบ้าน จำนองบ้าน +โดนฟ้องมากกว่า 3 ราย
- เราสามารถเจรจา hair cut ได้ตลอดเหมือนแบบที่ 1
-3) แนวทางการ hair cut จะทำตอนไหนระหว่าง (จ่ายตามคำพิพากษา) หรือ (อายัดเงินเดือน) โดยรูปแบบการ hair cut ตั้งแต่ขั้นตอนนี้จะแตกต่างกันแล้วแต่กรณี รายละเอียดตามนี้
3.1 ถ้าไม่มีบ้าน จำนองบ้าน เงินเดือน +/- 10,000
case แบบนี้ หลังศาลตัดสินลูกหนี้จะได้เปรียบเพราะเจ้าหนี้ไม่มีช่องทางจะเอาเงินคุณได้เลย แต่ถ้าคุณไม่จ่าย หนี้ก็จะติดตัวคุณไปตลอด!!!
ค่อยๆเก็บเงินไปไม่กี่เดือนก็จะ hair cut ได้
3.2 ถ้ามีบ้าน/บ้านติดจำนอง ทรัพย์สิน เงินเดือน +/- 10,000
case นี้การนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย ถึงแม้จะอายัดเงินเดือนไม่ได้ แต่จะเสียงกับการโดนสืบทรัพย์ได้ ทั้งบ้านที่ไม่ติดจำนอง หรือ บ้านที่ติดจำนองแต่ผ่อนมานาน จนมูลหนี้เหลือน้อยมาก จะเกิดส่วนต่างระหว่างหนี้ กับ ราคาประเมินมาก เจ้าหนี้อาจจะฟ้องบังคับคดีขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินส่วนต่างตรงนี้นั่นเอง
การ hair cut ทำได้เหมือนข้อ 1 แต่จะเสี่ยงมากกว่า ทางออกคือต้องประเมินเรื่องบ้านก่อน และ เจรจากับเจ้าหนี้อย่างต่อเนื่อง ห้ามหายตัวเด็ดขาด
3.3 ถ้าไม่มีบ้าน/ไม่มีบ้านติดจำนอง เงินเดือน > 10,000 - 20,000
case นี้การนิ่งเฉยหลังศาลตัดสิน เจ้าหนี้จะฟ้องบังคับอายัดเงินเดือนได้อย่างเดียว
การ hair cut ทำได้ตั้งแต่ศาลตัดสิน จนถึงระหว่างอายัดเงินเดือน ระหว่างอายัดเงินเดือนก็สามารถเจรจา hair cut ได้ขอเพียงมีเงินพร้อม และเจรจาจนพอใจทั้ง 2 ฝ่าย
-.4 ถ้ามีบ้าน/มีบ้านติดจำนอง เงินเดือน >10,000 -20,000
case นี้การนิ่งเฉย หรือคิดว่าจะปล่อยให้อายัดเงินเดือนต้องระวัง เพราะเจ้าหนี้จะทำการสืบทรัพย์และบังคับยึดบ้าน ก่อนถึงขั้นตอนอายัดเงินเดือนได้
จึงควรต้องเจรจากับเจ้าหนี้ให้ได้ว่าจะให้เราผ่อนจ่ายเท่าไหร่ ห้ามหายหน้าเด็ดขาด เงื่อนไขเจรจาที่ได้ผลดีคือขอจ่ายแบบขั้นบันได เริ่มปีที่1 น้อย แล้วค่อยๆเพิ่มไป ตามความเหมาะสม) หลังจากได้เงื่อนไขแล้วก็ชำระหนี้ไปอย่างสม่ำเสมอ จ่ายพอดีบ้าง น้อยบ้าง แบบสมเหตุสมผล เพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ฟ้องบังคับคดีเราได้ หรือถ้าแก้ไขเรื่องบ้านได้แล้ว จะให้ไปจบที่อายัดเงินเดือนก็ย่อมทำได้
การ hair cut จะต้องพิจารณามากกว่าข้อ 3.3 เนื่องจาก มีบ้าน/จำนองบ้าน การปล่อยให้ไปถึงขั้นตอนอายัดเงินเดือน บ้าน/บ้านจำนอง อาจจะได้รับผลกระทบด้วย
3.5 ถ้ามีบ้าน/มีบ้านติดจำนอง เงินเดือนสูงๆ เช่น 30,000 - 50,000
case นี้ถ้านิ่งเฉยหลังศาลตัดสิน จะเสี่ยงต่อการโดนยึดทรัพย์เหมือนข้อ 3.4 อีกทั้งการอายัดเงินเดือนก็จะโดนมาก คือ 30% = 9,000 - 15,000 (ภาระที่หนักมากนั่นเอง) จึงมีหลายทางเลือก เนื่องจากมีรายได้สูง
- การขอจ่ายหลังคำพิพากษา เพื่อลดภาระการชำระหนี้มากๆๆ นั่นเอง เช่น ขอจ่าย 1,500 หรือ 2,000 หรือ 2,500 ต่อ/เดือน แบบขั้นบันได มีน้อยจ่ายน้อย จ่ายพอดีบ้าง ซึ่งการจ่ายแบบนี้จะน้อยกว่าโดนอายัดเงินเดือน แต่ต้องโดนฟ้อง 1-3 รายเท่านั้น ถึงจะคุ้ม เงินส่วนต่างก็เก็บไว้เพื่อรอ hair cut เป้นต้น
-ถ้าโดนฟ้องเกิน 3 ราย การจ่ายหลังคำพิพากษาจะไม่คุ้ม เช่น โดนฟ้อง 5 ราย จะต้องผ่อนจ่ายเกือบ 10,000 บาท/เดือน ซึ่งจะทำให้ไม่มีเงินเหลือเก็บเพื่อ hair cut เป็นต้น
- ขั้นที่ 8 แนวทางปฏิบัติเรื่องการ hair cut ว่าทำตอนไหนอย่างไร
1 การ hair cut สามารถทำได้ตั้งแต่โดนทวงถาม และเริ่มมีการให้เงื่อนไขต่างๆๆ
2 การ hair cut สามารถทำได้ทั้งลูกหนี้ (เรา) เจรจาขอ หรือ เจ้าหนี้ (แบงค์/คนทวงหนี้) บอกเงื่อนไขมา
3 ไม่มีกฎเกณฑ์ อะไรตายตัว ไม่มีมาตรฐาน ว่าจะได้ลด 30% 20% 50% 40% มันขึ้นอยู่ที่มูลหนี้ อยู่ที่เทคนิคการพูด อยู่ที่ความใจดีของแบงค์แต่ละแห่ง..ซึ่งไม่เท่ากัน
4 การ hair cut มีทั้งจ่ายครั้งเดียว หรือ จ่าย 2 งวด 3 งวด อยู่ที่การเจรจาทั้งหมด ทุกอย่างอยู่ที่ความพอใจ ทั้ง 2 ฝ่าย
5 ก่อนจ่ายเงินปิดบัญชีต้องขอหนังสือยืนยันทุกครั้ง โดยถ้ามาจากสำนักกฎหมายต้องมีหนังสือมอบอำนาจ หรือ แสดงว่า แบงค์เจ้าของบัตรรับทราบเงื่อนไขแล้ว
ห้ามคิดว่าต้องแก้ไขด้วยวิธีเดียวกัน หรือเหมือนกันหมดทุก case นะครับ
-ก่อนตัดสินใจหยุดจ่าย
- ให้ดูว่ามีทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้หรือไม่ ถ้าได้ให้ขายทิ้งเพื่อนำเงินที่ขายได้มาลดยอดมูลหนี้ เช่น ทองถ้าไม่ได้ใส่ก็เอาไปขาย เป็นต้น หรือรถยนต์ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทาง หรือไม่ได้จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน ก็ขายทิ้งครับ
-ถ้าให้จ่าย ขั้นต่ำ 10 % ของหนี้ หนี้ แค่ 4 เท่า เงินเดือน ชีวิต ก็เริ่มลำบากแล้ว เพราะ ต้อง จ่าย 40 % ของเงินเดือน เหลือไว้ให้กินใช้ 60% ซึ่ง มันจะอยู่ได้แบบพอดีๆ ถ้าไม่ฟุ่มเฟือย
ถ้า ไป ประนอมหนี้ ให้จ่าย แบบ 5 % ของ หนี้ ก็อาจไปได้ ถึง หนี้ 8 เท่า เงินเดือน
ใน 5% ที่จ่ายไป จะโดนเป็น ดอกเบี้ย 2% เหลือ ไปหัก เงินต้น 3% (ถ้าไม่คิด เรื่อง present value ให้ยุ่งยาก) กว่าจะไปหักต้นหมด ต้องใช้เวลา 100 หาร 3 = 34 เดือน คือ สามปี
ถ้า ประนอมหนี้ ให้จ่าย 3% ก็อาจเป็นหนี้ ได้ถึง 10-12 เท่า เงินเดือน แต่ เงิน 3% ที่จ่ายไป เหลือ มาหัก เงินต้น แค่ 1% ดังนั้น กว่า หนี้ จะหมด ก็ 100 เดือน = 9 ปี
ถ้า ประนอมหนี้ ให้จ่ายที่ 2% ก็แปลว่า ให้ เราจ่ายดอกเบี้ย เลี้ยงหนี้ ไปเรื่อยๆ ไม่เสียเครดิต แต่ หนี้ ไม่มีวันหมด
คนที่ มีหนี้ เป็น 10 กว่า เท่า เงินเดือน แทบไม่ต้องไปคิด เรื่อง ประนอมหนี้ จ่าย ต่อเดือน ต่ำลง เพราะ ถ้าทำไป ชาตินี้ ก็ไม่มีวันหมดหนี้ ยิ่ง 20 เท่า ขึ้นไป ยิ่ง ไม่มีทาง
second way out ไม่ใช่ ทางออก ที่เป็น แบบ สบายๆ ทำกันได้ง่ายๆ เดี๋ยว เจ้าหนี้ ก็ลดหนี้ ให้เอง
คนที่สามารถ ทำอาชีพ ปล่อยกู้ อาชีพ ทวงหนี้ ถ้า คนมัน ไม่โหด พอ มันทำอาชีพ นี้ไม่ได้ ฉนั้น คนที่เลือก ออกทางนี้ ต้อง มีความอดทน ไม่น้อย
การเลือก secondway out คนเลือก ต้อง จ่ายอีก หลายอย่าง ที่ไม่ใช่ ตัวเงิน เช่น ชื่อเสียง ความสงบสุขในครอบครัว ความทุกข์ ความกังวล และ เงินที่เป็น หนี้ ก็ไม่ใช่ว่า ไม่ต้องจ่ายเลย ก็ยังต้องจ่ายบ้าง ทรัพย์สิน บางอย่างที่มี ก็อาจถูกอายัด/ยึด ไปใช้หนี้ แต่ ก็ยัง มีเงินเดือน เหลือ พอให้เรา ดำรงชีพ (ประมาณ 70% ของเงินเดือน) แล้วยังเห็น อนาคต ว่า หนี้ จะหมดได้อย่างไร เมื่อไหร่
ยังไงก็ดีกว่า การ หมุน หาหนี้ มาจ่ายหนี้ มันไม่มีวันหมดหนี้ และเข้ามาเพิ่มข้อมูลสำหรับเพื่อนๆที่ต้องการเวลาหายใจ เก็บเงินเก็บทองให้ได้นานๆๆ ในแต่ละขั้นตอนมันมีกลยุทธ์ยืดเวลาดังนี้
4.1 ถ่วงเวลาตอนโดนทวงหนี้ ก็ศึกษาเทคนิคการถ่วงเวลาไป อาจจะได้เป็นปีในขั้นตอนนี้ (3-6 เดือน 4-9 เดือน หรือมากกว่า 1 ปี)
4.2 หลังโดนหมายศาล ก็ถ่วงเวลาไปอีก เช่น ขอเลื่อนพิจารณาคดี (เทคนิคตามที่คุณ Keng บอกไว้ก่อนหน้า ลองค้นดูครับ) จะยืดได้มากกว่า 2-6 เดือน แล้วแต่ศาลในแต่ละพื้นที่ แต่ต้องเตรียมตัวด้วย เป็นต้น
4.3 หลังจากนั้นก็อาจจะหาเรื่องสู้คดีได้ ก็สามารถยืดเวลาได้อีก เป็นต้น อย่างน้อยอีกหลายเดือนๆ จะตัดสินให้เราแพ้คดีก็ช่างมัน เพราะศาลท่านไม่โหดร้ายหรอกครับ (สามารถปรึกษาพี่นกกระจอกเทศได้ครับ)
4.4 หลังศาลตัดสินก็สามารถถ่วงเวลาได้อีก อย่างของผม แกล้งเจรจากลับไป กลับมา 2-3 รอบ ก็กินเวลาหลายเดือนแล้ว (ของผมไม่ต้องการให้อายัดเงินเดือนเลยถ่วง กว่าจะเริ่มผ่อนจ่ายก็เดือนที่ 6 แล้วครับ)
4.5 ระหว่างผ่อนจ่ายหลังคำตัดสิน ก็จ่ายน้อยบ้าง มากบ้าง หยุดบ้าง 1 เดือน กลับมาจ่ายอีก จ่ายไปสักพักก็หยุดสักครั้งนึง มันโทรไปเจรจาได้ตลอดครับ....จริงไหม???
ของผม ยอดหนี้ 160,000 ก็ผ่อน 2000 บ้าง 1500 บ้าง หยุดไป 1 เดือนบ้าง กลับมาจ่ายติดๆๆกันอีก 3 เดือนก็หยุดอีก 1 เดือน สบายๆๆครับ ไม่ต้องไปเครียดมาก เพราะมันเจรจากับคนที่ดูแลยอดหนี้ตรงนี้ได้ ตอนนี้ผมสนิทกับเขาเลย..บางครั้งเขาออกจะช่วยผมด้วยซ้ำ เป็นต้น...
จะเห็นว่าเราจะมีเวลาเก็บเงินได้นานมาก เป็นปีๆๆ ซึ่งหมายถึงเราจะสามารถเจรจา hair cut ได้นั่นเองครับ
เพราะสุดท้ายเจ้าหนี้ก็อยากได้หนี้คืนเร็วๆ คดีจบเร็วๆๆ นั่นเอง อย่างของผมตอนนี้จ่ายผ่อนหลังคำตัดสินมายอดหนี้ลดลง 20% เอง แต่ก็รอเวลาตัดจ่ายทีเดียวเป็นก้อน หรือ hair cut นั่นเอง โดยตั้งใจว่าจะจ่ายที่ยอดหนี้เพียวๆๆไม่เกิน 50% (หนี้ที่ผ่อนไปแล้ว บวก เงินก้อนที่จะตัดจ่าย)
ดอกเบี้ยก็ช่างมัน เพราะมันเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น หลัง hair cut ได้ก็จบ...ตอนนี้เอาเงินไปดำรงชีวิต จะให้แม่ ให้พ่อ ก็ทำได้สบายๆๆ เป็นต้นครับ อย่าไปเครียดมาก นั่นเอง
ซึ่งยังไง ก็ต้องไปสู่ จุดจบ ที่เหมือนกัน คือ ต้อง ไป second way out ในที่สุด
kaewja (ผู้ดูแลระบบ)
โดยคุณ poopae