การไปขึ้นศาล มีอยู่ 3 แนวทางหลัก...ดังนี้
1.
ไปศาลเพื่อไปต่อสู้คดี เพื่อให้รู้ผล แพ้-ชนะ คดี กันไปข้างหนึ่ง ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ซึ่งแนวทางนี้ จะ
ต้องเขียน คำให้การในการต่อสู้คดี โดยใช้แบบฟอร์มของศาลที่มี“ตราครุฑ” ๑๑(ก.) สำหรับคดีแพ่ง หรือแบบฟอร์ม ผบ.๓ สำหรับคดีผู้บริโภค โดยเขียนคำให้การต่อสู้เป็นภาษากฏหมาย ซึ่งถ้าเขียนเองไม่เป็น ก็ต้องจ้างทนายช่วยเขียนให้
ขอย้ำว่า...การต่อสู้คดีบนชั้นศาล จะต้องยื่นคำให้การด้วยทุกครั้ง ไม่สามารถสู้คดีด้วยปากเปล่าได้
หากจำเลยไม่เขียนคำให้การไปยื่นต่อศาล...ศาลจะถือว่าจำเลยมีเจตนา“ไม่ต้อง การสู้คดี” ต่อให้จำเลยมีหลักฐานอันแน่นหนาว่า โจทก์โกง , โจทก์ผิดกฏหมาย , โจทก์ฉ้อฉล , คดีขาดอายุความไปแล้ว...ฯลฯ ศาลท่านก็จะไม่พิจารณาตามหลักฐานดังกล่าวเลย เพราะถือว่า จำเลยไม่ยอมปฎิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของศาล
2.
ไปศาลเพื่อการไกล่เกลี่ย ประนีประนอมยอมความกับทนายโจทก์ เช่น ถูกหมายฟ้องให้ชดใช้หนี้เป็นจำนวนเงิน xx,xxx บาท แต่ฝ่ายจำเลยยังไม่มีเงินก้อนที่จะสามารถชำระหนี้ให้ได้ในตอนนี้ จึงขอไกล่เกลี่ยกับทนายโจทก์ว่า อยากจะขอผ่อนต่อนับจากนี้เป็นต้นไป ซึ่งเงื่อนไขที่จะสามารถตกลงกันได้บนชั้นศาลนี้ ทางฝ่ายโจทก์มักจะไม่ยอมให้ผ่อนต่อในระยะเวลายาวๆอีกต่อไป ส่วนมากก็จะบังคับให้ผ่อนให้หมดภายในระยะเวลา 1 ถึง 2 ปี (แต่บางรายอาจขอได้นานสูงสุดถึง 3 ปี) โดยในช่วงที่ผ่อนอยู่นี้ โจทก์อาจขอคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ผ่อนนี้ด้วย ซึ่งก็ต้องมาพูดคุยตกลงกันอีกว่า จะยอมให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนที่เท่าไหร่? ก็จะมีตั้งแต่ 15% , 13% , 10%...หรือบางรายอาจขอได้ 0%(ไม่คิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ผ่อน ก็มี) ทั้งนี้ก็แล้วแต่ฝีปากและเทคนิคในการเจรจาต่อรองของแต่ละราย
แต่...ตัวเลขยอดหนี้ที่จะตกลงผ่อนกันใหม่นี้ จะเป็นตัวเลขตามที่โจทก์ยื่นฟ้องมาในหมายศาลแบบ"เต็มๆ" โดยแทบจะไม่มีส่วนลดอะไรให้กับลูกหนี้เลย (เรียกได้ว่า เขียนฟ้องมาเท่าไหร่ ก็เอาตัวเลขอันนั้นแหละ มาทำสัญญาผ่อนกันใหม่)
เมื่อได้ข้อตกลงอันเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ทำการร่างสัญญาที่ตกลงกันเอาไว้ ลงในแบบฟอร์ม“สัญญาประนีประนอมยอมความ”(ตราครุฑ ๒๙) พร้อมกับเซ็นต์ลงนาม ชื่อโจทก์ , ชื่อจำเลย และชื่อของผู้พิพากษาอีก 2 ท่าน(ในฐานะเป็นพยาน)
วิธีการนี้ เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น...หรือ เหลือเจ้าหนี้แค่รายนี้“เป็นรายสุดท้าย”
โดยที่ตัวของลูกหนี้ จะต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่า หากเซ็นต์ชื่อลงในสัญญาแล้ว จะต้องปฎิบัติให้ได้ตามข้อตกลงในสัญญา เพราะในสัญญาฉบับนี้ มีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาลงนามเป็นพยานถึง 2 ท่าน หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายตามข้อตกลงได้ สัญญาทั้งหมดจะถือว่าเป็น“โมฆะ” และจะถูกย้อนให้กลับไปใช้ตัวเลขมูลหนี้ทั้งหมด ในอัตราสูงสุดของหมายฟ้องในครั้งแรกทันที
อีกทั้ง ทางฝ่ายโจทก์สามารถยื่นเรื่องผ่านไปที่“กรมบังคับคดี”ได้เลย โดยไม่ต้องฟ้องซ้ำอีกแล้ว และจำเลยก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ด้วย เพราะถือว่าจำเลยได้ทำการ“ตระบัดสัตย์”ต่อศาลไปแล้ว
ดังนั้น...ถ้าหากลูกหนี้ทำการประเมินตัวเองแล้ว คาดว่าในภายภาคหน้าอาจจ่ายชำระตามข้อตกลงในสัญญาไม่ไหว ก็อย่าไปตกลงทำสัญญาดีกว่าครับ หันมาใช้วิธีการตามในแนวทางที่ 1 หรือแนวทางที่ 3 จะดีกว่า
3.
ไปศาลเพื่อร้องขอความเมตตากรุณาจากศาล โดยขอให้ท่านช่วยตัดลดมูลหนี้บางอย่างลงมาให้บ้าง...เช่น ดอกเบี้ย , ค่าล่าช้า , ค่าทวงถาม , ค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมศาล และค่าทนายโจทก์ด้วย ซึ่งจะได้ลดมากหรือลดน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับความเมตตาจากท่าน (ต้องไปวัดดวงเอาเอง) แต่สำหรับ หนี้เงินต้น นั้น ศาลท่านไม่สามารถช่วยปรับลดให้ได้ (ตามข้อกฏหมาย)...ฉะนั้นอย่าไปขอท่านในส่วนนี้เป็นอันขาด
ยังตัดสินใจไม่ได้ ขอ เลื่อนนัด ถอยมาตั้งหลัก เพื่อคุยกับเจ้าหนี้ตัวจริง ดีที่สุด
สรุปก็คือ
ศาลแพ่งหรือศาลผู้บริโภค มีหน้าที่แค่พิจารณาหนี้ไปตาม คำร้อง/คำโต้แย้ง ของคู่ความเท่านั้น
โดยใช้ข้อกฏหมาย(มาตราต่างๆ)เป็นตัวพินิจพิเคราะห์
และเมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็จะออกเป็นคำสั่ง“พิพากษา”เพื่อบังคับให้ใช้หนี้ ระหว่างกัน โดยเสียดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (อาจเป็นร้อยละ 7.5 , 10 , 12 , 15 ต่อปี...แล้วแต่ศาลเป็นผู้พิจารณา)
และเมื่อศาลพิพากษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็หมดสิ้นหน้าที่ของศาล เรื่องต่างๆต่อจากนี้ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับศาลอีกต่อไปแล้ว จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการชดใช้หนี้ระหว่างโจทก์และจำเลย โดยอาจมีกรมบังคับคดีมามีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าหากมีการร้องขอให้ทำการอายัดใดๆของจำเลย...ตามที่โจทก์ไปยื่นคำร้องไว้ ที่กรมบังคับคดี
สามารถอ่าน
ข้อมูลเพิ่มเติมได้จากในกระทู้นี้
www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=2&id=969
www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&id=3037&view=flat&catid=2
เตือนเมื่อไปศาลด้วยตัวเอง
อย่าลืมพานายสติไปด้วย และพกเบอร์โทรสายด่วน
กรณีคิดไม่ทันเขา
ขออนุญาตหยิบยกเอากระทู้"ตัวอย่าง" ที่ผมได้เคยเตือนเรื่องการไปขึ้นศาลด้วยตัวเอง นำขึ้นมากล่าวเตือนใหม่อีกครั้ง
(เนื่องจากกระทู้เก่าๆ ที่เคยเขียนเตือนเอาไว้อยู่ใน Webboard เก่า ได้ถูกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับชมรมฯ ส่ง Hacker เข้ามา ลบ/ทำลาย ทิ้งไปหมดแล้ว)
ดังนั้น...ผมจึงเกรงว่าสมาชิกที่เพิ่งเข้ามาอ่านใหม่ๆ จะไม่ทันได้ล่วงรู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของทนายฝ่ายโจทก์
จึงใคร่ขอเตือนเพื่อนสมาชิก ที่จะไปขึ้นศาลด้วยตนเอง โดยไม่ต้องการต่อสู้คดี...แต่ต้องการไปขึ้นศาลเพื่อ ร้องขอค่าลดหย่อนต่างๆจากศาล (ร้องขอความเมตตาจากศาล) หรือต้องการไปขอเลื่อนการพิจารณาคดี
ให้พึงระวัง!...การใช้วิธีการอันสกปรก ของทนายโจทก์ ที่จะพยายามขัดขวางคุณทุกวิถีทาง...เพื่อไม่ให้คุณได้มีโอกาสได้ร้องขอความเห็นใจจากศาล
เช่น...
คำถามของสมาชิกที่ถามว่า
ถาม : แสดงว่าเมื่อไปถึงศาลแล้วเราไม่ควรที่จะเซ็นเอกสารใดๆเลยจนกว่าศาลจะขึ้นบัลลังค์ใช่หรือไม่ครับ
ตอบ : ใช่ครับ
ถาม : ในหมายเรียกของศาลเค้าบอกเลขห้องพิจารณาคดีชัดเจนใช่ไหมครับ
ตอบ : ในหมายฟ้อง...ไม่ได้บอกถึงห้องพิจารณาคดีเอาไว้เลย
ในหมายฟ้อง...จะบอกแค่เพียงว่า
- ชื่อผู้ที่ฟ้อง (ชื่อของเจ้าหนี้ หรือชื่อโจทก์)
- ฟ้องใครเป็นจำเลย? (ชื่อของลูกหนี้ หรือชื่อของจำเลยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด)
- เป็นคดีฟ้องประเภทอะไร? (คดีอาญา / คดีแพ่ง ประเภท , มโนสาเร่ , สามัญ , ล้มละลาย / คดีผู้บริโภค)
- จุดประสงค์ ฟ้องเพื่อต้องการอะไร? (ให้จำเลยได้รับโทษตามกฏหมาย / ให้จำเลยชำระหนี้ / ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย)
- ขึ้นศาลที่ไหน? (ชื่อสถานที่ศาล)
- วันที่นัดให้ไปขึ้นศาล
- เวลาที่นัดให้ไปขึ้นศาล
- หมายฟ้องถูกระบุไว้ว่า ให้ไปขึ้นศาลเพื่ออะไร? (เพื่อการไกล่เกลี่ย / เพื่อการสืบพยาน)
สำหรับหมายเลขห้องพิจาณาคดี (บัลลังก์ที่เท่าไหร่?) ถ้าคุณอยากรู้ คุณต้องไปดูเอาเองที่หน้าศาล เขาจะมีเจ้าหน้าที่ของศาล มาทำการติดเอกสารและเปลี่ยนเอกสาร
ที่เกี่ยวกับหมายเลขห้องพิจารณาคดี ไว้ที่หน้าบอร์ด (หน้ากระดาน) ณ.บริเวณทางเข้าศาลชั้นล่าง...ทุกวัน...ถ้าอยากรู้...ก็ต้องไปดูเอาเอง
ถาม : ศาลจะให้เราไปรอที่หน้าห้องใช่หรือไม่ครับ
ตอบ : ไปนั่งรอในห้องน้ำก็ได้มั๊งครับ...เดี๋ยวพอถึง "คิว" ของคุณ ศาลท่านก็คงจะออกมาเดินตาม และตะโกนเรียกหาตัวคุณในห้องน้ำให้หรอกนะ
คุณไม่ได้อ่านกระทู้ที่ผมทำ Link ให้ไว้เหรอครับ...ตามที่ว่า
- ถูกทนายโจทก์หลอกให้จำเลยไปนั่งรอผู้พิพากษาอยู่หน้าห้องพิจารณาคดี...โดย อ้างว่า ในห้องบังลังก์มีคดีเยอะ...และเมื่อถึง "คิว" คดีของคุณ...ศาลท่านจะให้คนออกมาเรียกคุณที่หน้าห้องเอง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ศาลท่านไม่เรียกใครหรอกครับ ถ้าถึง "คิว" ของคุณแล้ว ศาลท่านเรียกชื่อคุณ แล้วคุณไม่แสดงตัวหรือขานรับ ศาลท่านจะถือว่าคุณไม่ได้มาศาลหรือ"หนีศาล"
ท่านก็จะพิพากษาคุณไปตามความข้างเดียว ตามที่ถูกฟ้องมาทันที
อ่านแล้ว...ยังไม่เข้าใจตรงไหนอีกเหรอครับ?
คุณถึงได้มาตั้งคำถามที่ว่า..."ให้เราไปรอที่หน้าห้องใช่หรือไม่ครับ"
ถาม : ไม่มีความรู้จริงๆไม่เคยขึ้นศาล
ตอบ : มันก็ไม่มีใคร ที่ออกมาจาก ท้องพ่อ-ท้องแม่ พอหย่านมแล้วก็ขึ้นศาลเลยนะครับ...หรือต่อให้โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ไม่มีใครเขาอยากขึ้นศาลเหมือนกัน (ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ)
ถ้าไม่มีความรู้ ก็พยายามศึกษาหาความรู้ จากกระทู้ต่างๆในนี้สิครับ โดยเฉพาะในกระทู้ปักหมุดที่อยู่ด้านบนน่ะครับ
ขอให้ทำอย่างมีสติ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
ไม่ต้องรีบเซ็น รีบตัดสินใจ เพื่อเอาใจทนายกับเจ้าหน้าที่ และ
วันนัดศาลไม่ใช่วันสิ้นโลก หรือวันหยุดหนี้ วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้าย
เจรจาจบวันนี้ไม่ได้ ยังมีโอกาสต่อได้อีกวันหน้าเสมอค่ะ
วันนี้ไม่ได้ดั่งใจ วันหน้ายังมีเวลาให้ต่อรองอีก Hair-cut ได้ตลอดชีพ